ย้อนอดีต ตามหา...แม่ของลูก
ตอนที่ 1 ชีวิตที่ไม่เหมือนเดิม
คุณเคยมีความฝันเรื่องอนาคตของชีวิตบ้างไหม เรียนจบ ทำงาน มีเงิน มีบ้าน มีรถ มีแฟน แต่งงาน มีลูก มีครอบครัว มีหลาน และอยู่ตอนแก่ด้วยสุขภาพที่ดี มีเงินใช้ไม่ขาดมือ
 
มนุษย์ธรรมดาๆ อย่างพวกเราก็คงต้องการแค่นี้
 
ผมเองก็ต้องการแค่นั้น แต่เอาเข้าจริงๆแล้วมันไม่ง่าย!
 
เพราะนอกจากที่ดินทำสวนผักที่ได้รับมามรดกจากที่บ้านแค่ไม่กี่ไร่ อย่างอื่นในชีวิตของผมก็ล้มเหลวหมด โดยเฉพาะเรื่องของชีวิตคู่
 
ชายโสดอายุห้าสิบปี ที่ไม่มีใครยอมมาแต่งงานและใช้ชีวิตคู่ร่วมกัน
 
บั้นปลายชีวิต....ทำไมมันถึงไม่เหมือนที่หวังกันนะ!
 
...................................
 
เอาล่ะ! พวกคุณคงสงสัยว่าผมเป็นใคร ก็ขอเล่าเรื่องราวของตัวเองให้ฟังคร่าวๆแล้วกัน เราจะได้รู้จักกันและคุณจะได้เข้าใจผมมากขึ้น
 
ผมชื่อ “ธีย์” ซึ่งก่อนหน้านี้ชื่อของผมเขียนว่า “ธีร์” ที่แปลว่านักปราชญ์ ซึ่งตั้งโดยพ่อของผมเอง ดูดีมีความหมายใช่ไหมล่ะ!
 
แต่พอเกิดมาผมก็ป่วยอยู่ตลอดเวลา จนหมอดูบอกว่าตัว ร. เป็นกาลกิณีให้เปลี่ยนไปใช้ตัว ย. แทนจะเสริมดวงได้ดีกว่า ซึ่งพ่อกับแม่ก็ยอมเปลี่ยนเป็น “ธีย์” ตามที่หมอดูแนะนำ
 
ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องบังเอิญหรือหรือจริง เพราะเพียงแค่เปลี่ยนชื่อเท่านั้น ผมก็หายป่วยและกลับมาเป็นเด็กแข็งแรง จ้ำม่ำน่ารัก จนเป็นขวัญใจของที่บ้านและญาติๆ
 
แต่ชื่อนี้ก็ส่งผลดีแค่ตอนเด็ก เพราะตอนที่ผมโตขึ้นมาความน่ารักก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆเพราะตัวที่ยืดขึ้น กลายเป็นเด็กชายผอม ที่หน้าตาบ้านๆแทน และเมื่อบวกกับตอนที่อยากรู้ความหมายของชื่อตัวเอง แล้วลองหาในพจนานุกรม ก็ปรากฏว่าชื่อ “ธีย์”ของผมไม่มีอยู่ในนั้น
 
พูดกันแบบง่ายๆคือ เป็นชื่อที่ไม่มีความหมายนั่นเอง
 
ที่แย่กว่านั้นก็คือ ไอ้เจ้าชื่อนี้มันยังมาตรงกับนิสัยของผมตั้งแต่เด็กๆ ที่ชอบทำอะไรแบบขอไปทีหรือทำอะไรลวกๆนั่นเอง ทำให้ตอนเด็กๆ คะแนนสอบของผมจึงผ่านแบบขอไปทีและชิงที่หนึ่งมาตลอด แต่ต้องนับจากข้างหลังนะ คุณจะไม่ผิดหวังแน่นอน
 
จากนั้นชีวิตของผมก็เริ่มสั่นคลอนมากขึ้น เมื่อแม่มีน้องสาวที่ห่างกันเพียงแค่ห้าปีมาคนหนึ่ง ตอนแรกผมก็เห่อน้องนะ เล่นกับน้องทุกวัน สนุกดี แต่เมื่อน้องสาวเริ่มโตขึ้น ความเหลาะแหละของผมก็เด่นชัดขึ้น นั่นก็เพราะว่า......
 
น้องสาวของผมนั้น ฉลาดกว่าผมมากๆ
 
“ธัญญ์”คือชื่อน้องสาวของผม แปลว่า รุ่งเรือง มั่งมี เธอพูดได้ตั้งแต่ไม่กี่ขวบ อ่านเขียนได้ตั้งแต่ยังไม่เข้าอนุบาล จากนั้นก็คว้าที่หนึ่งในการสอบทุกครั้ง แถมยังเก่งกิจกรรมและหน้าตาดี
 
จนผมเองต้องหลอกถามแม่ตลอดว่าผมเป็นเด็กเก็บมาเลี้ยงหรือไม่ ทำไม DNA มันถึงได้ต่างกันขนาดนี้
 
“เอ! หรือว่าตอนนั้นจะไม่ใช่พ่อแก!” นั่นไง! แม่ชอบพูดคำนี้ทุกครั้งที่ผมถาม บอกมาๆว่าพ่อที่แท้จริงของผมเป็นใคร!  
 
จากนั้นละครฉากเดิมๆก็ปรากฏขึ้น
 
โป๊ก!
 
“ไอ้ลูกคนนี้นี่! ถามแบบนี้ทุกรอบ! พ่อแกก็นั่งหัวโด่อยู่นั่นไง! ”
 
ฉากเขกกะโหลกในตำนาน มักจะปรากฎขึ้นหลังแม่ทำท่าแบบนี้เป็นประจำ จนผมต้องล้มเลิกแผนในการหาความจริงทุกที
 
จากเรื่องราวในวัยเด็ก คุณก็คงพอจะเดากันได้ว่าชีวิตของผมที่โตมาจะเป็นอย่างไร แต่ที่ผมเล่าเรื่องในวัยเด็กให้คุณฟังก็ไม่ใช่อะไรหรอกนะ
 
เพราะตอนนี้ร่างในวัยอายุห้าสิบปีที่ชีวิตล้มเหลวของผม กำลังนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่บนเตียงในโรงพยาบาล หลังจากถูกรถชน!
 
ย้อนไปเมื่อเดือนที่แล้ว ในช่วงค่ำของวันอาทิตย์ ผมก็เดินอยู่บนถนนแถวสวนของตัวเองเพราะเอาผักไปฝากเพื่อนบ้านและนั่งกินมื้อเย็นที่บ้านของเขา ใครจะรู้ว่าตอนขากลับ จู่ๆก็มีรถสิบล้อคันหนึ่งหลุดโค้ง พุ่งเข้ามาตอนที่ผมกำลังเดินกลับบ้าน
 
โชคดีที่เพื่อนบ้านหลังนั้นออกมาดูและช่วยนำตัวผมส่งโรงพยาบาล แม้จะช่วยชีวิตได้ทัน แต่ผมก็ไม่ฟื้นและนอนเป็นผักอยู่บนเตียงมาร่วมเดือน
 
สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้จากการนอนเป็นผักมาตลอดหนึ่งเดือนก็คือ "ความทรมาน"
 
การที่ตื่นขึ้นมารับรู้ทุกอย่างได้ แต่ขยับหรือพูดไม่ได้เลย มันคือการลงโทษมนุษย์ที่โหดร้ายมาก ทุกวันที่ตื่นขึ้นมาแล้วเจอประสบการณ์แบบนี้ ทำให้ผมอยากจะบอกทุกคนว่าช่วยปล่อยให้ผมตายไปเถอะ! เพราะผมไม่อยากมีชีวิตอยู่แบบนี้!
 
ใครกันที่จะเลือกใช้ชีวิตที่แม้แต่จะลืมตาก็ยังทำไม่ได้และชีวิตนี้ ก็ไม่มีสิทธิ์กำหนดการอยู่หรือตายของตัวเอง
 
เนื่องจากตอนนี้ในเมืองไทยยังไม่มีเรื่องกฎหมาย”การุณยฆาต” ที่ญาติของผู้ป่วยสามารถบอกให้แพทย์ทำการปลิดชีพผู้ป่วยเพื่อให้พ้นจากความทรมานได้  ทำให้ชีวิตของผมกลายเป็นภาระของน้องสาวของผมเพียงคนเดียว
 
“พี่ธีย์ ต้องฟื้นนะ! เราเหลือกันแค่สองคนพี่น้องเท่านั้น!” นี่เป็นประโยคที่น้องสาวของผมพูดเสมอเวลาที่มาเยี่ยมผม พร้อมกับเสียงร้องไห้ที่ทำให้ผมอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอด
 
เพราะมันเจ็บปวดทุกครั้ง! ที่ได้รับรู้ว่าผมเป็นสาเหตุที่ทำให้น้องสาวของผมต้องเป็นทุกข์
 
ทุกวันผมจะพยายามฝืนบังคับให้ร่างกายตัวเองลุกขึ้น เพื่อจะได้หายและออกจากโรงพยาบาล และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมพยายามทำมัน แต่ผลลัพท์กลับไม่เหมือนเดิม
 
เพราะครั้งนี้ผมสามารถลุกขึ้นได้และเดินได้ ทำให้ผมดีใจมาก
 
แต่ไม่นานผมก็ต้องตกใจ!
 
เพราะมองเห็นร่างของตัวเองนอนเป็นผักอยู่ที่เดิม
 
“เฮ้ย! นี่เราตายแล้วหรือวะ?” ผมตั้งคำถามกับตัวเอง แต่ก็แปลกใจเพราะเมื่อมองดูมอนิเตอร์ของเครื่องวัดชีพจร หัวใจของผมยังเต้นอยู่!
 
หรือการที่ผมพยายามลุกในครั้งนี้คือการถอดจิตแบบหนึ่งเหมือนในหนัง ผมตั้งข้อสังเกตทันทีจากนั้นก็เริ่มหวาดกลัว เพราะเหมือนในหนังมักจะมีวิญญาณชั่วร้ายอยู่เต็มไปหมด
 
ก่อนที่จะคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เสียงๆหนึ่งก็ดังเรียกสติของผม
 
“ไม่ต้องคิดอะไรมาก! หนูเป็นคนดึงวิญญาณของพ่อขึ้นมาเอง” เสียงของเด็กหญิงตัวเล็กๆดังขึ้นที่เบื้องหน้าผม และเมื่อผมเลยหน้าขึ้นมา ก็มองเห็นดวงไฟดวงหนึ่งลอยอยู่เบื้องหน้า
 
“ผี! ผีหลอก!” ผมตกใจทันทีที่เห็นดวงไฟดวงนั้น และพยายามวิ่งหนีตามสัญชาตญาณแต่ร่างวิญญาณของผมกลับอยู่กับที่ ขยับไม่ได้เลย
 
“ผีเผอมีที่ไหน! นี่คือร่างวิญญาณของหนู ขี้ขลาดแบบนี้ไม่น่าเป็นพ่อของหนูเลยนะนี่!” เสียงจากดวงไฟดังขึ้นอีกและเริ่มลอยมาใกล้ๆ
 
แปลกดีแฮะ! อยู่ใกล้ขนาดนี้แต่รู้สึกร้อนเลย
 
“เอิ่มม! เมื่อกี้เรียกผมว่าอะไรนะ ผมฟังไม่ชัด?” พอนึกขึ้นได้ว่าผมเองก็ไม่ได้อยู่ในร่างคนแล้ว ก็เลยรวบรวมความกล้าถามกลับดวงไฟดวงนี้บ้าง
 
“หนูเรียกคุณว่าพ่อ! เพราะคุณเป็นพ่อของหนู!”
 
หา!  คุณพระช่วย! นี่ผมไปมีลูกตอนไหนวะนี่!!!!
 
...............................................
ตอนต่อไป
ตอนที่ 2 หนูคือลูกสาวของคุณ