ย้อนอดีต ตามหา...แม่ของลูก
ตอนที่ 4 ความรักครั้งแรก
ผมพูดชื่อของผู้หญิงที่อยากย้อนไปดูอดีตความรักและช่วงเวลาให้กับเด็กน้อยฟัง เด็กน้อยพยักหน้าแล้วพูดว่า
 
“ก่อนหนูจะพาพ่อย้อนไปในความทรงจำของตัวเอง มีสองข้อที่พ่อต้องรู้!”
 
“ข้อหนึ่งก็คือ...แม้เราจะเข้าไปดูความทรงจำของพ่อในแต่ละช่วง แต่ก็อาจเกิดเรื่องความทรงจำบิดเบี้ยวที่จะทำให้เราทั้งคู่ติดอยู่ในนั้นตลอดกาล พ่อห้ามแสดงอารมณ์ที่อ่อนไหวเด็ดขาด จำไว้ว่าเราแค่ฟื้นความทรงจำแต่ละช่วง เพื่อที่จะเลือกย้อนอดีตแค่ครั้งเดียวเท่านั้น” เด็กน้อยบอกผมด้วยสีหน้าจริงจัง
 
“ได้ครับ แต่ทำไมการเข้าไปดูความทรงจำถึงได้อันตรายล่ะ?” ผมถามเด็กน้อยเพราะเริ่มรู้สึกว่ามันไม่ง่ายอย่างที่คิด
 
“ก็เพราะว่าเราต้องเข้าไปในความทรงจำของร่างพ่อที่นอนอยู่ แต่ถ้าร่างวิญญาณของพ่อแสดงอารมณ์ที่อ่อนไหว ร่างกายก็จะเกิดความเคลื่อนไหวทางอารมณ์และความทรงจำ ตอนนั้นอาจปั่นป่วนจนหนูหาทางออกไม่ได้ เพราะร่างกายเนื้อปกติก็ไว้ใช้กักเก็บวิญญาณอยู่แล้ว” เด็กน้อยอธิบายถึงสาเหตุ
 
“แล้วข้อสองล่ะ?” ผมอยากรู้ เพราะรู้สึกว่าข้อต่อไปน่าจะยากขึ้น
 
“ข้อสองก็คือ........”
 
“จากนี้พ่อต้องเรียกหนูว่า “มีน” ตามชื่อเดิมของหนู  เพราะตั้งแต่คุยกันพ่อยังไม่เคยเรียกชื่อหนูเลย ชิ!” เด็กน้อยพูดจบก็ทำท่างอนใส่ พร้อมแสดงสีหน้าไม่พอใจ
 
ผมมองแล้วก็ขำ เมื่อเห็นร่างเล็กๆทำท่างอนใส่ ในใจเริ่มนึกว่าช่างเป็นเด็กที่ขี้ใจน้อยจริงๆ
 
“ได้จ้า! เอาล่ะ น้องมีน หนูจะเริ่มพาพ่อเข้าไปดูอดีตได้หรือยังคะ?” ผมเรียกชื่อลูกสาวในอนาคต ตามข้อตกลง
 
“ดีมาก! จากนี้ก็เรียกชื่อหนูทุกครั้งด้วยล่ะ” เด็กน้อย เอ๊ย! น้องมีนยิ้มหวาน ดวงตากลมใสคู่นั้นบ่งบอกถึงความดีใจ ทำเอาผมเองก็มีความสุขไปด้วย
 
“ได้เวลาแล้ว! พ่อมายืนข้างเตียงตรงนี้แล้วหลับตานึกถึงช่วงเวลาในตอนนั้น! เดี๋ยวที่เหลือหนูจัดการเอง”
 
ผมทำตามคำบอกอย่างว่าง่าย พลางมองดูร่างของตัวเองที่นอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่บนเตียง เมื่อมองเห็นริ้วรอยแห่งวัยที่ปรากฏบนใบหน้าแบบชัดๆ ก็ทำเอารู้สึกถึงความล้มเหลวในช่วงชีวิตที่ผ่านมามากขึ้นกว่าเดิม
 
“พ่อหลับตาได้แล้ว หนูจะเริ่มแล้วนะ!” น้องมีนดุผมเสียงแข็ง เมื่อเห็นว่าผมยังไม่หลับตาลง จนผมต้องรีบทำตามเมื่อหลับตาแล้ว ผมก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังลอยและหมุนอยู่เหมือนลูกข่าง
 
“พ่อห้ามลืมตานะ! จะกว่าทุกอย่างจะสงบลง” เสียงน้องมีนตะโกนออกมา เมื่อเห็นว่าผมเกือบจะลืมตาขึ้นดู จนผมต้องหลับตาปี๋และกัดฟันเพื่อรอให้ทุกอย่างสงบ
 
ตอนนี้ตัวของผมค่อยๆ หมุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนเหมือนร่างกายจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ จนหลายอึดใจผ่านไป
 
ในที่สุด! ทุกอย่างก็เงียบลงและกลับสู่สภาพเดิม
 
“เอาล่ะ! ลืมตาได้แล้ว” เสียงเล็กๆของว่าที่ลูกสาวผมดังขึ้น ทำเอาผมโล่งใจที่ขั้นตอนเสร็จสักที
 
และเมื่อลืมตาขึ้นมา ผมก็ต้องตกตะลึง เมื่อพบว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในโรงเรียนที่เคยเรียนชั้นมัธยมปลาย ในวันเปิดเรียนวันแรก
 
สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็คือ ทุกอย่างรอบตัวดูเหมือนจริงไปหมด ทั้งภาพ เสียง กลิ่น ราวกับผมได้มาอยู่ในสถานที่นั้นจริงๆ
 
แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่แตกต่างออกไป
 
“เฮ้ย! ระวัง!” ผมร้องส่งเสียงดัง เมื่อมีเด็กคนหนึ่งขี่จักรยานเข้ามาชน แต่ทันใดนั้น! เด็กชายและจักรยานก็ทะลุผ่านตัวของผมไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
 
“ไม่ต้องตกใจนะพ่อ! ในที่แห่งความทรงจำนี้ จะไม่มีใครเห็นเราและสัมผัสพวกเราได้ แต่พวกเราก็ทำได้แค่มองดูเช่นกัน” น้องมีนส่งเสียงใสแจ๋ว บอกรายละเอียดกับผม
 
“พ่อจะได้ไหม ว่าจะหาว่าที่แม่ของหนูได้ที่ไหน?”
 
“จำได้แม่นเลย ห้อง ม.4/6 เราสองคนเรียนห้องเดียวกัน” ผมตอบว่าที่ลูกสาวอย่างมั่นใจ
 
ขณะที่พาน้องมีนมาที่ห้อง ม.4/9 ภาพที่เห็นระหว่างทางก็ยังทำให้ผมทึ่งอยู่ดี
 
โรงเรียนที่ผมเรียนมัธยมปลายนั้นเป็นโรงเรียนสหศึกษาในย่านฝั่งธนบุรี ที่มีเด็กนักเรียนทั้งชายและหญิง สมัยปี 2519 หรือยุคปี 70 นี้ ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือและอินเตอร์เน็ท ทำให้ผู้คนใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายไม่เร่งรีบ
 
ผมเห็นรถเมล์สีขาวของนายเลิศวิ่งผ่านที่หน้าโรงเรียน รถยนต์รุ่นเก่าๆที่ดูคลาสสิค แฟชั่นกางเกงขาบานของวัยรุ่นและอีกหลายๆอย่างที่เคยเห็นตอนนั้น พอได้กลับมาเห็นอีกครั้งก็อดตื่นเต้นไม่ได้
 
ผมเดินมาไม่นานก็มาถึงที่ห้อง ม.4/6 ที่คุ้นเคย ภาพกระดานดำอันเก่า โต๊ะเรียนที่ทำจากไม้อันแสนหนัก บอร์ดวันสำคัญต่างๆของประเทศไทย ทำให้หวนคิดถึงตอนเรียนยิ่งนัก
 
ตอนนี้คุณครูประจำชั้นกำลังให้ทุกคนแนะนำตัวเพื่อให้พวกเรารู้จักกัน โดยบอกชื่อนามสกุล ชื่อเล่น ความหมายของชื่อและอาชีพที่อยากเป็น
 
พูดถึงอาชีพที่อยากเป็นในยุคนั้น ผมเองที่ยืนดูอยู่ก็ขำเหมือนกัน เพราะสมัยนั้นพวกเรารู้จักอาชีพแค่ไม่กี่อย่าง
 
หมอ พยาบาล ตำรวจ ครู ชาวนา ค้าขาย นี่คืออาชีพหลักที่ทุกคนในสมัยนั้นอยากเป็น ที่เหลือก็เป็นอาชีพพื้นๆทั่วไป
 
“นั่นไง! พ่อนั่งอยู่ตรงนั้น!” ผมชี้ให้น้องมีน ดูตัวผมในอดีต เด็กหนุ่มตัวผอม ผิวสองสี ที่สูงปานกลาง หน้าตาบ้านๆและใส่แว่น นั่งอยู่ท้ายห้อง ซึ่งตอนนี้ก็ถึงคิวของผมที่ต้องแนะนำตัวเองพอดี
 
“สวัสดีครับ ผมชื่อ ธีย์ หนองกระโทนทอง ชื่อเล่นชื่อ ธีย์ ชื่อของผมเป็นชื่อที่ไม่มีความหมายในพจนานุกรม ในอนาคตอยากเป็นกระเป๋ารถเมล์ครับ ” ผมพูดจบก็นั่งลงโดยก้มหน้าเหมือนคนขี้อาย
 
“พ่อ! แค่อาชีพที่พ่ออยากจะเป็นนี่ก็รู้แล้วว่าทำไมชาตินี้ถึงล้มเหลว! เฮ้อ!.” น้องมีนมองตัวผมในอดีตนั่งลง แล้วก็มองหน้าผมพร้อมส่ายหน้าเบาๆ
 
“สมัยนั้นเด็กๆอย่างพ่อมองว่ามันเป็นอาชีพที่เท่ห์น่ะ ถึงกับเอากระบอกข้าวมาหลามมาทำเป็นกระบอกเก็บตังค์เลยนะ!” ผมพูดอวดว่าที่ลูกสาวด้วยความภูมิใจ
 
“แล้วคนไหนล่ะ ว่าที่แม่ของหนู?” น้องมีนถามขึ้น
 
“คนนั้นไง ที่กำลังยืนน่ะ!” ผมชี้ให้น้องมีนดูเด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังจะยืนแนะนำตัว
 
“สวัสดีค่ะ ชื่อน้ำขิง วิรัชยากานนท์จรรย์ ชื่อเล่นชื่อขิง ที่ชื่อน้ำขิงเพราะตอนท้องแม่เราชอบกินน้ำขิงมาก เลยมาตั้งเป็นชื่อเรา อนาคตอยากเป็นหมอ เพราะอยากช่วยคนค่ะ ” เด็กสาวหน้าตาน่ารัก ผิวขาวตาโต ดูท่าทางฉลาด พูดจาคล่องแคล่ว นี่ก็คือ “ขิง” รักแรกของผม
 
“โห! นี่ว่าที่แม่ของหนูดูสวยแล้วก็ฉลาดมากๆ ไม่สมกับพ่อเลยนะ” น้องมีนตาโตเมื่อได้เห็นตังจริงของน้ำขิง
 
“อย่าว่าแต่หนูเลย! ตอนนั้นพ่อก็งงตัวเองเหมือนกันว่ามีอะไรดี ถึงจีบติด” ผมตอบว่าที่ลุกสาวแบบงงๆเช่นกัน
 
พอได้เห็นรักแรกอีกครั้ง ผมก็รู้สึกคิดถึงเธอเหมือนกัน ภาพความทรงจำในวัยเด็กค่อยๆชัดขึ้นและเริ่มจำได้หลายเรื่อง
 
“คนนี้คบกันนานมั้ยพ่อ!” น้องมีนถามขณะที่ดู “ขิง” กำลังตอบคำถามคุณครูด้วยคำพูดที่ฉะฉาน
 
“สามปี! จนจบ ม.6 นั่นแหละเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย” ผมตอบน้องมีแล้วทำหน้าเศร้า
 
“แล้วทำไมถึงได้เลิกกันล่ะ! สวยและฉลาดแบบนี้พ่อไม่น่าปล่อยให้หลุดมือเลยนะ หรือเค้าทิ้งพ่อไป?” น้องมีนที่กำลังชื่นชมว่าที่แม่ถามขึ้น
 
“เป็นเพราะพ่อเองนั่นแหละ! ที่ทิ้งเค้าไป” ผมตอบด้วยใบหน้าที่เศร้าพลางนึกถึงช่วงเวลานั้น
 
“หา!....” น้องมีนตกใจและมองหน้าผมแบบไม่อยากจะเชื่อเรื่องนี้
 
...............................................
ตอนต่อไป
ตอนที่ 5 วัยรุ่นยุค 70