ย้อนอดีต ตามหา...แม่ของลูก
ตอนที่ 13 ระยะห่าง
“ธีย์! เดี๋ยวตรวจดูโรคของพืชเสร็จ ก็พักเที่ยงแล้วไปกินข้าวที่โรงอาหารนะ” พี่โชคหัวหน้าที่คุมงานตะโกนบอกผม
 
“ได้ครับพี่! เดี๋ยวผมเสร็จแล้วตามไปครับ” ผมตอบพี่โชคและเร่งเดินตรวจโรคของพืชต่อไป
 
ผมมาฝึกงานที่ไร่ส้ม ในจังหวัดเพชรบูรณ์ได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว เมื่อก่อนที่นี่เป็นไร่ส้มเขียวหวานขนาดใหญ่ น่าเสียดายที่เกิดโรครากเน่าจนต้องตัดทิ้งไปเกือบหมด จนเหลืออยู่ไม่มาก
 
แต่ก็มีการปลูกพืชผักอื่นๆและเลี้ยงปลา รวมถึงมีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมด้วย
 
เจ้าของสวนไม่ได้เรียนเกษตรเหมือนผม แต่มีใจรักด้านนี้จึงมาบุกเบิกพื้นที่และทดลองปลูกสารพัด จนกลายเป็นธุรกิจเกษตรที่น่ายกย่อง
 
เวลาของที่นี่ผ่านไปเร็วมาก ผมตื่นตั้งแต่เช้ามืด หลังจากจัดการภารกิจของตัวเองเสร็จก็มากินข้าวเช้าที่โรงอาหารและเริ่มทำงาน ไม่นานก็หมดไปอีกวัน
 
ผมเว้นระยะห่างจากขมิ้นในช่วงฝึกงาน เพื่อที่เราทั้งสองคนจะได้รู้จักตัวเองดีขึ้นและกลับมาคุยกันอีกทีหลังจากฝึกงานเสร็จ
 
ผมทำงานอย่างเต็มที่เพราะรู้สึกสนุกกับงานเกษตร เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าผมเลือกเรียนไม่ผิด
 
การอยู่ท่ามกลางต้นไม้และพืชต่างๆ ทำให้ผมสงบและรู้สึกได้อยู่กับตัวเองมากขึ้น
 
เนื่องด้วยสมัยนี้ยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ แม้ผมจะคิดถึงขมิ้นมากแค่ไหนก็ทำได้เพียงแค่เขียนจดหมาย แต่ผมเองก็พยายามหักห้ามใจของตัวเอง เพราะอยากเว้นระยะเพื่อถามใจตัวเอง
 
“ธีย์! เสร็จงานแล้วหรือ?” เสียงใสๆ ดังขึ้นด้านหลัง พร้อมสาวหมวยน่ารักคนหนึ่ง เธอชื่อ "น้ำหวาน" มาจากมหาวิทยาลัยอื่นและเลือกฝึกงานที่นี่เช่นกัน
 
“พ่อ! ที่นี่มีความรักของพ่ออีกคนหนึ่งเหรอ พ่อนี่ไม่ธรรมดาเลยนะ เว้นระยะห่างแป๊บเดียว มีคนใหม่ซะละ” น้องมีนทำท่าโกรธผมที่ดูเหมือนจะนอกใจขมิ้น
 
“คนนี้ไม่ใช่หรอก! เธอเป็นนักส่งเสริมเกษตรที่มาฝึกงานเหมือนกับพ่อน่ะ” ผมมองสาวหมวยคนนี้และคิดถึงเรื่องราวในอดีต
 
..........................
 
“เสร็จพอดีเลย! น้ำหวานก็เสร็จงานแล้วใช่ไหม งั้นเราไปกินข้าวเที่ยงกันเถอะ” ผมชวนน้ำหวานเดินไปโรงอาหารด้วยกัน
 
น้ำหวานมาจากมหาวิทยาลัยทางภาคใต้ เธอตั้งใจมาฝึกงานที่นี่โดยเฉพาะ เพราะอยากอยู่ไกลจากภาคใต้บ้าง
 
“บ้านเราเปิดร้านขายของที่หาดใหญ่ แต่เราอยากเรียนเกษตรเพราะชอบปลูกต้นไม้ โชคดีที่ป๊ากับม้าไม่ห้ามเพราะชอบต้นไม้เหมือนกันจึงให้เราเรียนตามใจชอบ เพราะที่บ้านเองก็มีที่อยู่เผื่อจะไปปลูกอะไรที่บ้านหลังเรียนจบ” น้ำหวานเล่าเรื่องที่บ้านให้ผมฟัง
 
เธอเป็นเด็กสาวที่ร่าเริงและมองโลกในแง่ดี และโชคดีที่ครอบครัวสนับสนุนให้เรียนอย่างที่ตั้งใจ เพราะยุคนั้นผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่ค่อยเลือกเรียนเกษตร โดยเฉพาะครอบครัวเชื้อสายจีนอย่างเธอ
 
ผมสนิทกับน้ำหวานเพราะเธอบอกว่า ในนักศึกษาฝึกงานที่นี่ผมดูเฟรนด์ลี่มากกว่าคนอื่น และผมดูไม่มีพิษมีภัยกับผู้หญิง
 
อันนี้...คงไม่ได้หมายถึงผมดูไร้น้ำยาใช่ไหมนี่!
 
เมื่อสนิทกันมากขึ้นจึงได้รู้ว่าน้ำหวานไม่มีแฟน เพราะที่บ้านมักจะคลุมถุงชนเรื่องแต่งงานให้ โดยครอบครัวของเธอกำลังดูลูกของเพื่อนคนอื่นๆที่เหมาะสมให้อยู่
 
“ไม่รู้ว่า...สุดท้ายแล้ว! เราจะมีโอกาสได้แต่งงานกับคนที่เรารักบ้างหรือเปล่า!” น้ำหวานพูดประโยคนี้จบก็ถอนหายใจ
 
ในสมัยนั้น...ครอบครัวเชื้อสายจีนมักจะคลุมถุงชนเรื่องคู่ครองของลูก ยิ่งเป็นลูกสาวด้วยแล้วละก็น้อยคนที่จะสามารถเลือกคู่ครองเองได้
 
ครอบครัวมักจะเลือกจากความเหมาะสมหลายๆด้าน เพื่อรับประกันว่าทั้งสองจะได้คนที่ดีและสร้างครอบครัวที่ดีไปด้วย
 
“อยู่ๆกันไป เดี๋ยวก็รักกันเอง” นี่คือคำที่น้ำหวานชอบพูดล้อเลียนเมื่อเล่าเรื่องนี้ แม้จะดูสนุก..แต่ด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่แบบเธอ ผมว่าเธอเองคงไม่ได้ชอบใจเรื่องนี้มากนัก
 
สมัยก่อนผมเองก็ต่อต้านเรื่องนี้ เพราะคิดว่าคนเราควรเลือกคู่ครองด้วยตัวเอง แต่พอผ่านประสบการณ์ชีวิตมาจนอายุห้าสิบ ผมก็แปลกใจในคู่ที่ถูกคลุมถุงชนใกล้ตัว ที่ไม่มีใครหย่าร้างเลยสักคู่และดูมีความสุข
 
ส่วนคนที่เลือกคู่ครองตามใจชอบกลับเลิกแล้วเลิกอีก
 
ก็เลยไม่แน่ใจว่าสายตาของคนหนุ่มสาวเวลาเลือกคู่กับสายตาของผู้ใหญ่อย่างไหนดีกว่ากัน
 
แน่นอนว่าเมื่อน้ำหวานเล่าเรื่องของตัวเองแล้ว เธอก็ถามเรื่องของผม ซึ่งผมก็เล่าอย่างไม่ปิดบัง
 
“โอ้โห! ธีย์! แฟนนายเท่ห์มากๆเลย เราก็อยากเป็นอย่างแฟนนายบ้างจัง โดยเฉพาะเรื่องที่จีบผู้ชายก่อน” น้ำหวานดูชอบใจมากในเรื่องนี้
 
ส่วนในเรื่องของความขี้หึงของขมิ้น ในสายตาของผู้หญิงเธอกลับมองว่า
 
“เราว่าธีย์! ไม่ใช่คนเจ้าชู้ แต่ธีย์เป็นคนมีเสน่ห์ในการดึงดูดผู้คน ถึงจะไม่หล่อ ไม่รวย เรียนไม่เก่ง คารมไม่ดี แต่รวมๆก็พอที่จะทำให้แฟนธีย์หึงได้ เพราะนับเป็นผู้ชายที่หายาก”น้ำหวานพูดถึงตัวผม
 
เอิ่มม! นี่น้ำหวานกำลังชมผมใช่ไหมนี่! ทำไมรู้สึก เหมือนถูกหลอกด่ายังไงไม่รู้!
 
“ส่วนแฟนธีย์! เพราะเธอไม่เคยมีแฟน เลยไม่รู้ว่าการมีแฟนจะรักษาความสัมพันธ์อย่างไรให้ยืนยาว โดยทั้งคู่ไม่อึดอัดและสามารถเป็นตัวของตัวเองได้ เราว่าข้อนี้น่าจะเปลี่ยนนิสัยกันได้นะ เพราะทั้งคู่ก็ยังวัยรุ่นอยู่ พอทำงานเจอผู้คนเยอะๆก็น่าจะเข้าใจมากขึ้น ” น้ำหวานพูดต่อ
 
แม่จ้าว! นี่เป็นกูรูด้านความรักคนแรกในชีวิตของผมที่ให้คำแนะนำที่ดีมากๆ มีทั้งหลักการและเหตุผลที่ดี
 
ดีกว่าอีตาพี่ชัย รุ่นพี่ว๊ากคนสนิทที่ผมไปปรึกษาด้วย ขานั้นพูดมาคำเดียวว่า...
 
“ทำใจซะไอ้น้อง เชื่อพี่!..ผู้ชายคนไหนเชื่อฟังภรรยารับรองเจริญทุกคน” จากนั้นก็ชวนผมเมาจนถึงเช้า
 
พอได้ยินที่น้ำหวานวิเคราะห์ ผมก็ใจชื้นขึ้นและคิดว่า...ผมรักขมิ้นมากพอที่จะเริ่มต้นใหม่ เพื่อให้ความรักเราสองคนยืนยาว ไปจนถึงขั้นแต่งงานกัน
 
หลังจากนั้นผมก็ทำงานอย่างมีความสุขและเฝ้ารอวันที่จะได้กลับไปเจอกับขมิ้น
 
เมื่อใกล้ครบช่วงฝึกงาน
 
วันหนึ่งน้ำหวานก็เป็นลมแดด โชคดีที่ผมอยู่ใกล้ๆจึงคว้าตัวเธอได้ทันก่อนจะล้มลงไป
 
หลังตะโกนเรียกคนให้ช่วยอยู่นานเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น ผมจึงตัดสินใจอุ้มเธอมาที่ห้องพยาบาลเพื่อรักษา
 
พี่ที่ดูแลห้องพยาบาลพยายามปฐมพยาบาลเธอ ไม่นานน้ำหวานก็ฟื้นและนอนพักอยู่ภายในห้อง
 
“ธีย์! กำลังจะไปหาอยู่พอดีเลย อ้าว!แล้วเกิดอะไรขึ้นทำไมถึงอยู่ที่ห้องพยาบาล” พี่โชคหัวหน้างานหอบของฝากมามากมายแล้วถามผม
 
พอผมเล่าเรื่องให้ฟัง พี่โชคก็ถอนหายใจ ก่อนวางของทั้งหมดลงแล้วพูดกับผมว่า
 
“พี่ก็ว่าแล้วว่ามันแปลกๆ เมื่อกี้มีแฟนธีย์มาหาที่ชื่อขมิ้นน่ะ! ขับรถมากับเพื่อนๆจากเชียงใหม่เห็นว่าเก็บชั่วโมงฝึกงานครบแล้ว เลยจะเอาของฝากมาให้ธีย์ก่อนจะกลับมหาวิทยาลัยที่กรุงเทพ”
 
“แต่ไม่รู้ทำไม! ขับตรงไปหาธีย์ไม่นาน ก็เอาของมาฝากพี่แล้วก็บอกว่าไม่อยากเจอแล้ว สงสัยจะเห็นตอนที่ธีย์อยู่กับน้ำหวานแน่ๆ” พี่โชคส่ายหัวก่อนตบบ่าผมเบาๆ
 
ส่วนผมที่โลกกำลังสวยงาม ก็รู้สึกเหมือนกำลังโดนฟ้าผ่าตอนกลางวัน เพราะรู้ว่าการเว้นระยะห่างของผมกับขมิ้น
 
คงจะยาก....ที่จะกลับมาเหมือนเดิม
 
...................
 
ตอนต่อไป
ตอนที่ 14 ความรักกับฝนตก