ตอนที่ 23 ความสุขของการได้อยู่ใกล้
อารมณ์ของมนุษย์นั้นเกิดจากฮอร์โมนในร่างกาย
 
นี่คือความลับที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบและทำลายความโรแมนติกในเรื่องของความรักไปจนหมดสิ้น
 
แต่สำหรับฉันในตอนนี้ กลับมีความสุขจนอิ่มเอม เพราะการได้อยู่กับนายภูผาทุกวัน แม้จะรู้ว่ามันเป็นความรักที่กำลังหลอกตัวเองอยู่ก็ตาม
 
“ทับทิมของที่เธอสั่งมาแล้ว เราเอาวางไว้ให้ที่หน้าห้องแล้วนะ” นายภูผาพูดกับฉันในช่วงบ่าย หลังจากที่เราเข้ามาอยู่ที่เซฟเฮ้าส์เมื่อหลายวันก่อน
 
อันที่จริงฉันก็เคยดูหนังมามากมายและคิดว่าเซฟเฮ้าส์มันเป็นสถานที่ลึกลับที่หลบซ่อนสายตาผู้คนแบบอยู่ในถ้ำหรือป่าลึก
 
แต่ในความเป็นจริงแล้วมันก็คือบ้านหลังใหญ่ธรรมดา ที่มีการคุ้มกันจากเจ้าหน้าที่เท่านั้นเอง
 
“ห้ามใช้โทรศัพท์และออกจากที่นี่โดยไม่ได้รับอนุญาต!” ผู้กององอาจย้ำกับพวกเรา เมื่อตอนที่เดินทางมาถึง พร้อมกับให้เราสั่งของใช้ที่ต้องการหรืออุปกรณ์ที่จำเป็นกับการทำนายได้
 
พวกเราทำการทำนายทุกวันเพื่อช่วยในการสืบคดี ส่วนนายภูผาที่ไม่อยากอยู่เฉย ๆ ก็มาช่วยเรื่องเอกสารและคอยจดบันทึกด้วย
 
หลายวันผ่านไปฉันเองก็สนิทกับนายภูผามากขึ้น หลังเลิกงานพวกเราสองคนก็มักจะนั่งคุยกันเสมอ
 
“ชีวิตตอนนี้เหมือนในหนังเลยเนอะ เราป่วยเป็นโรคประหลาดแล้วก็จ้างนายมาเป็นแฟน ก่อนจะมาช่วยสืบคดีแล้วโดนฆาตกรตามล่า” ฉันนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่นาน
 
“ใช่แล้ว! มันดูสนุกดี ถ้าไม่นับตอนที่โดนฆาตกรเอาท่อนเหล็กตีกับโดนปืนยิง คิดถึงทีไรก็ยังกลัวไม่หาย” นายภูผาพูดกับฉัน
 
“แล้วนายไม่เคยมีแฟนเลยหรือ หน้าตาอย่างนายน่าจะมีสาวมาชอบเยอะนะ” ฉันถามขึ้นเพราะอยากรู้เรื่องนี้
 
“ไม่มีหรอกเราไม่ค่อยสนใจเรื่องนี้น่ะ ในหัวเรามีแต่เรื่องหาเงินช่วยครอบครัว ไม่มีเวลากับเรื่องไร้สาระแบบนี้หรอก” ภูผาพูดแล้วก็หันไปเล่นกับเจ้าข้าวตู
 
“ถ้าอย่างนั้นเราก็เป็นแฟนคนแรกของนายน่ะสิ แม้จะเป็นแค่การจ้างก็ตาม” ฉันพูดแกมถาม
 
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ ว่ากันตามจริงเธอก็เป็นผู้หญิงที่เราคุยด้วยมากที่สุดนะ” ภูผาพูดตอบ
 
ผู้หญิงเราก็แปลก เวลาที่ได้คุยกับคนที่ชอบแล้วรู้สึกพิเศษกว่าคนอื่นเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็มีความสุขขึ้นมาทันที
 
“แล้วนายว่าพวกเราจะจับตัวฆาตกรได้ไหม?” ฉันถามนายภูผา
 
“เห็นการทำงานของทีมผู้กององอาจกับความแม่นยำของทีมผู้นำทางแล้ว เราว่าก็น่าจะจับได้นะ” นายภูผาตอบฉัน
 
เราสองคนนั่งคุยกันอยู่นาน จนเจ้าหน้าที่เรียกประชุมด่วนเพราะมีข้อมูลเพิ่มมากขึ้น
 
“หลังจากที่เราสืบเรื่องเกี่ยวสะพานและฆาตกรแล้ว ตอนนี้ทางทีมของเราก็ได้เบาะแสเพิ่มเติม” จ่าดำลูกน้องคนสนิทของผู้กององอาจ เปิดภาพสไลด์เป็นรูปชายชราคนหนึ่ง
 
“ผู้ชายคนนี้ชื่อคำก้อน อายุเจ็ดสิบปี เป็นชาวบ้านที่อาศัยอยู่แถวสะพาน“ฉัฐมาพร” ตั้งแต่ก่อนสร้าง เขาเล่าว่าสมัยก่อนที่เขาจะเกิด ปู่ของเขาเคยเล่าให้ฟังว่าบริเวณนี้เป็นป่ารก ก่อนที่จะมีชาวบ้านมาเริ่มจับจองที่ดินและเกิดเป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ”  
 
“แต่พอมีข่าวโครงการสร้างสะพานออกมา นายทุนก็เริ่มกว้านซื้อที่ดินแถวนั้น บางแปลงนายทุนก็มีการส่งคนมาข่มขู่เหมือนที่ดินทั่วประเทศเวลาที่กำลังจะมีโครงการใหญ่จากรัฐบาล”
 
“เรื่องนี้ก็ไม่เห็นแปลกนี่ แล้วมันเกี่ยวกับคดีนี้ยังไง?” ผู้กององอาจถามจ่าดำ
 
“ความแปลกมันอยู่ที่ว่า พื้นที่ตรงสะพานตั้งแต่อดีตมาจนถึงวันที่สร้าง ยังไม่มีผู้คนไปจับจองเป็นเจ้าของครับ ทั้ง ๆ ที่ติดริมน้ำและทำเลดี เพราะชาวบ้านมีความเชื่อว่าที่ตรงนั้นเป็นสุสานเก่าของคนสมัยโบราณ” จ่าดำพูดถึงความเชื่อของชาวบ้าน
 
“นายทองก้อนยังเล่าต่อว่า ตอนที่เริ่มก่อสร้างสะพาน ผู้รับเหมาถึงกับต้องนำหมอผีเขมรมาทำพิธี เพราะมีคนงานเสียชีวิตอยู่บ่อยครั้ง แถมคนงานยังเจอผีแทบทุกคืน”
 
“ส่วนเรื่องของผู้เสียหายจากโครงการนี้ ค่อนข้างสืบยากเพราะนายทุนเข้ากว้านซื้อที่ไปก่อนที่การก่อสร้างจะเริ่ม ต้องตามหาชื่อจากโฉนดเดิมแล้วค้นทะเบียนราษฎ์ เนื่องจากพวกเขาย้ายไปอยู่ที่อื่นหมดแล้ว”
 
“แล้วเรื่องที่มีเจ้าหน้าที่ไปเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเป็นคนเล่นของหรือชอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่ะ?” ผู้กององอาจถามถึงเรื่องนี้
 
“ได้รายชื่อมาสองคนครับ คนแรกเป็นตำรวจท้องที่ชื่อ “จ่ามี” แกเป็นคนอยุธยา รูปร่างสูงโปร่ง อายุสี่สิบห้าปี ตอนนี้ลาออกจากราชการแล้วไปทำสวนที่บ้าน ชาวบ้านเรียกแกว่าหมอมี เพราะแกรับทำพิธีและเป็นร่างทรงด้วย” จ่าดำเปิดรูปของชายคนหนึ่งขึ้นมา เป็นชายวัยกลางคนที่ผิวสองสี มีรอยสักยันต์เต็มตัว หน้าตาดุดันและไว้หนวดเฟิ้มเหมือนผู้ร้ายในหนังไทยสมัยก่อน
 
“คนที่สองเป็นทหารชื่อ “ผู้พันตุ๋ย” เป็นคนท้องที่เหมือนกัน ตอนนี้หันมาเล่นการเมืองท้องถิ่นและเป็น อบต. อยู่ที่นี่ แกเป็นนักเลงพระเครื่องและชอบเรื่องไสยศาสตร์ ชาวบ้านเล่าว่าสมัยก่อนแกเป็นนักเลงฟันแทงไม่เข้า เพราะมีอาจารย์ดีและถือเป็นจอมขมังเวทย์คนหนึ่งครับ” จ่าดำเปิดรูปของชายอีกคนหนึ่งขึ้นมา เป็นชายไทยผิวสองสีเช่นกัน รูปร่างสูงใหญ่ ไม่ไว้หนวดเครา แต่มีรอยแผลเป็นที่ใบหน้า ตรงบริเวณแก้มซ้าย
 
“เอาล่ะผมอยากให้พวกเราสืบขยายผลถึงเครือข่ายและคนใกล้ชิดของสองคนนี้เพิ่ม ส่วนประเด็นอื่นยังไม่ตัดออก เพราะผมยังมองไม่ออกว่าข้อมูลตอนนี้มันจะเชื่อมโยงไปถึงตัวฆาตกรยังไง”
 
“และผมคิดว่าพวกเราคงต้องเดินทางไปที่นี่ เพื่อหาเบาะแสเพิ่มเติม” ผู้กององอาจบอกแนวทางและปิดการประชุม
 
ตอนนี้ทางฝั่งของผู้กองสุวัฒน์ที่สืบในแนวทางสืบสวนแบบเดิม ก็ยังไม่มีความคืบหน้าเพิ่มเติม
 
แต่พอมีรายงานว่าพบคนร้ายที่คาดว่าเป็นฆาตกรหมายเลข 6 บุกเดี่ยว เพื่อทำร้ายทีมผู้นำทางและหายตัวหลบหนีได้ ผู้กองสุวัฒน์ก็เรียกประชุมทีมงานทันที
 
“รายงานนี้เชื่อถือได้แค่ไหน?” ผู้กองสุวัฒน์ถามทีมงาน
 
“เป็นเจ้าหน้าที่ทางฝั่งนั้น ส่งมาให้ครับและมีทีมตรวจสอบยืนยันเรียบร้อย” เจ้าหน้าที่ในห้องตอบ
 
“นี่มันเหลือเชื่อมากอย่างกับในหนัง หรือว่าเรื่องไสยศาสตร์ลี้ลับพวกนี้มันมีอยู่จริง ๆ” ผู้กองสุวัฒน์ดูเอกสารในมือแล้วคิดตาม
 
“เตรียมตัวเดือนทางไปลงพื้นที่แถวสะพานนี้ ทีมของเราต้องจับตัวฆาตกรก่อนทีมนั้นให้ได้ อย่าให้ความเชื่อเหลวไหลมาเป็นบรรทัดฐานในการสืบคดี” ผู้กองสุวัฒน์สั่งการทันที
 
.......................
 
คืนวันนั้น ที่สะพานข้ามแม่น้ำแห่งหนึ่งในจังหวัดอยุธยา
 
ชายลึกลับคนหนึ่ง รูปร่างงสูงโปร่ง สวมเสื้อฮู๊ดสีดำ กำลังยืนอยู่เชิงสะพาน เขาหันหน้าเข้าหาสะพานแล้วพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่าว่า
 
“ดี! มากันให้หมด....เรื่องนี้จะได้จบกันสักที!”
 
...........................