เกือบหกชั่วโมงที่เรานั่งกันอยู่บนรถและตอนนี้พวกเราก็ถึงสถานีขนส่งปลายทางเรียบร้อย
แผนที่ฉันเตรียมไว้....ก็เริ่มขึ้น
“โอ๊ย! ปวดท้อง สงสัยหมูปิ้งทำพิษ” พี่สาวซาตี้ส่งเสียงร้องพลางเอามือกุมท้อง ตอนนี้ทุกคนหันมามองด้วยความตกใจ
“เป็นอะไรมากมั้ยพี่สาว! ตายแล้วต้องเรียกรถพยาบาลแล้ว! รถพยาบาล..ใครก็ได้เรียกรถพยาบาลให้หน่อย!” ฉันสวมบทบาทน้องสาวผู้ตื่นตระหนก ในขณะที่พี่สาวซาตี้ขยี้บทอีกด้วยการลงไปนอนกลิ้ง ด้วยความปวดท้อง
“รอรถพยาบาลน่าจะช้า ทุกคนรออยู่ที่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวจะมีคนมารับไปพักที่บ้าน ขอพาคุณเจนิเฟอร์ไปหาหมอก่อนนะคะ!” ฉันรีบพยุงพี่สาวซาตี้เดินออกมา
“น้องปอร์เช่ครับเดี๋ยวพี่ไปเป็นเพื่อนนะครับ” พี่เจมส์ออกตัว ช่างสมกับเป็นพระเอกจริงๆ ทำเอาฉันเคลิ้มอยากเปลี่ยนคนที่พยุงจากพี่สาวซาตี้เป็นพี่เจมส์เสียเหลือเกิน
“ยัยหนู! สติลูก สติ!” พี่สาวซาตี้เตือนฉัน เพราะกลัวแผนจะแตก
ฉันได้สติขึ้นมา แล้วปฏิเสธพี่เจมส์ด้วยความเสียดาย แต่ตามแผนแล้วถึงพี่เจมส์อยากมาก็มาไม่ได้ นั่นก็เพราะว่า......
“ปล่อยพวกเค้าเถอะค่ะ พี่เจมส์ เราไปก็เกะกะเปล่าๆ เดี๋ยวหมอกับพยายาบาลเค้าก็ดูแลเอง แถมโรงพยาบาลก็ไม่รู้ว่าสะอาดหรือเปล่า ติดโรคมาไม่คุ้มนะคะ” ยัยหลินรีบเกาะแขนพี่เจมส์แล้วรั้งทันที
แผนของเราก็คือ ให้พี่สาวซาตี้แกล้งปวดท้องแล้วแยกเพื่อทำท่าพาไปหาหมอ แต่รีบตรงไปที่บ้านเพื่อเก็บรูปทั้งหมดในบ้าน
“เอาแผนที่บ้านมาด้วย เดี๋ยวพวกเราจะไปรอที่โน่นเอง นั่นรอที่นี่เสียเวลาร้อนก็ร้อน” ยัยหลินตะโกนขึ้น เข้าทางแผนที่สอง
“ฉันให้ลุงข้างบ้านมารับแล้ว พวกเธอรอกันที่นี่แหละ” ฉันพูดพร้อมกับบอกสามสาวตระกูล ม.ม้า ว่าให้เบอร์โทรของทั้งสามสาวไว้กับลุงพล โซเฟอร์ประจำหมู่บ้านแล้ว เดี๋ยวลุงแกถึงแล้วจะโทรหา
ลุงพล เป็นชายชราวัยเจ็ดสิบที่แข็งแรง แต่หูตึงไม่ค่อยได้ยิน แกมีรถอีแต๋นอยู่หนึ่งคันและรับจ้างขนหมูให้ชาวบ้านเป็นประจำ ใช่แล้วหล่ะ! ฉันให้ลุงพลเอารถอีแต๋นมารับสมาชิกเพื่อซื้อเวลาเพิ่มขึ้น
มาถึงถิ่นก็ต้องจัดรถมารับให้มันได้บรรยากาศกันหน่อย หุหุ!
ส่วนฉันกับพี่สาวซาตี้ก็แว๊นซ์มอเตอร์ไซค์รับรับจ้างแถวนั้น เพื่อรีบเข้าบ้านไปจัดการเรื่องรูปก่อน
“ซิ่งสุดชีวิตเลยพี่!” ฉันย้ำพี่วินอย่างหนักแน่น จนพี่วินบิดมิดไมล์ ราวกับหนีตำรวจ
กว่าพวกที่เหลือจะเดินทางมาถึง ก็ใช้เวลากว่าสามชั่วโมง มีเวลาเพียงพอที่ฉันและพี่สาวซาตี้จะเก็บบ้านและซ่อนรูปเก่าของฉันทั้งหมดไว้ที่ใต้เตียง
“ฟู่!......เกือบไปแล้ว” ฉันและพี่สาวซาตี้นั่งพิงกับเตียงพร้อมถอนหายใจและปาดเหงื่อ ในที่สุดเรื่องนี้ก็แก้ปัญหาไปได้
หลังจากนั้นไม่นานเสียงโหวกเหวกก็ดังอยู่หน้าบ้าน ฉันรู้ได้ทันทีว่ามาถึงกันแล้วเพราะเสียงของยัยหลิน
“นี่มันแกล้งกันชัดๆ มีอย่างที่ไหนเอารถขนหมูมารับพวกเรา!” ยัยหลินโวยวายหัวฟู
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่ครับ ได้บรรยากาศดีออก มาต่างจังหวัดนั่งรถแบบนี้แหละดีแล้ว” พี่เจมส์พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มๆเหมือนเดิม ก่อนขนของลงจากรถ
ฉันมารู้ทีหลังว่า ตอนยัยหลินเห็นรถที่มารับก็หน้าเหวอ เตรียมหารถคันใหม่ทันที แต่จนใจที่ไม่รู้ว่าบ้านฉันอยู่ตรงไหนเพราะคุยกับลุงพลไม่รู้เรื่องและพี่เจมส์กับพี่แม็กซ์ก็ขนของขึ้นรถแล้ว จึงต้องยอมนั่งมาด้วยแต่โดยดี
ด้วยความที่บ้านของฉันหลังใหญ่พอสมควร หนึ่งห้องนอนจึงนอนกันได้หลายคน ฉันจึงให้สามสาวตะกูล ม.ม้านอนกับฉันและพี่สาวซาตี้ที่ห้องนอน ส่วนยัยหลินและพวกให้นอนห้องนอนใหญ่อีกห้อง และสองหนุ่มขอกางเต้นท์ที่ลานหน้าบ้าน
“ตรงนี้บรรยากาสดี พวกพี่ชอบ” พี่เจมส์พูดขณะที่มองทุ่งนาข้างบ้านที่กำลังออกรวงสีทองอร่าม
ท่าทางยายจะได้ว่าที่หลานเขยเมืองกรุงที่หลงกลิ่นอายชนบทซะแล้วล่ะมั้ง!
ช่วงแรกยัยหลินก็ไม่อยากพักที่บ้านของฉันแต่ละแวกนี้ไม่มีโรงแรมเลย ที่สำคัญตอนนี้ก็ค่ำแล้ว แถมพวกเราจะก็เตรียมเข้าป่าตรงภูเขาใกล้ๆนี้ตอนเช้าตรู่ พวกยัยหลินจึงไม่มีทางเลือก
และเมื่อแม่กับยายมาถึง ทุกอย่างก็คลี่คลายด้วยกับข้าวฝีมือแม่ แม้ทั้งสองคนจะตกใจที่รูปถ่ายหายไปหมด แต่พอฉันอธิบายว่าจะเก็บเอาไปใช้ทำประวัติสำหรับการประกวด T idol แม่และยายก็ไม่ได้ถามอะไรอีก
ตอนนี้ด้วยความที่เดินทางมาไกลและเหนื่อยทุกคนก็นั่งล้อมวงกินข้าวกันอย่างอร่อย ขนาดยัยหลินที่เป็นคนเรื่องมาก ยังต้องสยบในรสมือการทำกับข้าวของแม่ฉันเลย
เมื่อท้องอิ่ม ทุกคนก็แยกย้ายไปอาบน้ำและพักผ่อนเพราะเราต้องออกเดินทางแต่เช้า
“พวกเรารู้สึกว่าบ้านยัยปอร์เช่นี่แปลกๆมั้ย! ” ยัยหลินถามเดอะแก๊งค์ไม้ยมก
“ทำไมหรือหลินหลิน หรือว่าเธอมีซิกเซนท์แล้วสัมผัสได้ว่าที่นี่มี....มีผี!” ยัยชิงชิงเริ่มต้นเรื่องจนทำให้คนอื่นๆเริ่มกลัว
“จะบ้าเหรอ ฉันไม่ได้หมายถึงผี ฉันแค่รู้สึกว่ามันแปลกเพราะไม่เห็นมีรูปสมัยตอนเด็กของยัยปอร์เช่ ติดอยู่ที่บ้านเลย”. ยัยหลินอธิบาย
“ใช่ๆ ปกติคนเราต้องมีรูปตอนเด็กใส่กรอบไว้หรือติดไว้ที่ผนังบ้าน” แก๊งค์ไม่ยมกเริ่มได้สติ
“ฉันว่ายัยนี่! ต้องกำลังปิดบังอะไรบางอย่างไว้แน่ คอยดูเถอะฉันจะเปิดโปงความลับของมันแล้วเล่นงานกลับ เพื่อแก้แค้นครั้งที่แล้วให้ได้”ยัยหลินพูดด้วยสายตาอาฆาตและเริ่มวางแผนบางอย่างกับเดอะแก๊งค์
“ฮัดชิ้ว!” ฉันจามและรู้สึกหนาวแบบผิดปกติ คงจะไม่ได้มีใครกำลังชื่นชมฉันอยู่ใช่ไหมนี่
.............................
เมื่อถึงตอนเช้าตรู่ พวกเราก็ตื่นนอนและเก็บของเพื่อเตรียมตัวออกเดินทาง
แม่ติดต่อคนนำทางไว้ให้พร้อมผู้ช่วยอีกสามคน คนนำทางเป็นนายพรานเก่า อายุหกสิบกว่า ที่ยังแข็งแรงดี เข้าป่าแห่งนี้เป็นประจำตั้งแต่เด็กๆ ภูเขาลูกนี้จึงเหมือนบ้านหลังที่สองของแก
ชื่อของก็แกคือ “พรานตรี” อินเดียน่าโจนส์ประจำหมู่บ้าน พรานตรีสนิทกับยายและแม่ เลยรับปากพาพวกเราไปเดินป่าและตามหาต้นอาฮวน
ฉันมาขำตรงชื่อของผู้ช่วยพรานตรีที่อายุไล่เลี่ยกัน ซึ่งทั้งสามมีชื่อว่า ทา จัก แล้วก็สัง เมื่อเรียกรวมกันจึงกลายเป็น “ตรี คทา จักร สัง”
นี่มัน!....แก๊งค์สี่ยอดกุมาร ชัดๆ!
“เราจะอยู่ในป่ากันสามวันสองคืน และต้องแบกของกันเอง ดังนั้นขอให้เอาแต่ของที่จำเป็นและแบกไหวไปเท่านั้น”
พรานตรี ชายชราผิวคล้ำ ตัวเล็ก ผอมแห้งแต่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ มีหนวดโค้งหงอกเหมือนเขาสัตว์และเครายาวหงอก สวมหมวกคาวบอยสีดำ สวมเสื้อแจ็คเก็ตและกางเกงลายทหารพร้อมรองเท้าบู๊ท ยืนพูดราวกับเป็นครูฝึกในกรม พร้อมด้วยผู้ช่วยทั้งสามคนที่แต่งตัวเหมือนพรานตรี ต่างกันตรงที่ไม่มีหมวกคาวบอย
พวกเราทุกคนต้องจัดสัมภาระใหม่อีกรอบ ให้เหลือพอที่พวกเราจะแบกไหว ก่อนจะขึ้นรถอีแต๋นของลุงพลเจ้าเดิม เพื่อไปยังภูเขาเป้าหมาย
พี่เจมส์กับพี่แม็กซ์ดูเหมือนจะชอบกิจกรรมเดินป่านี้มาก คุยกับพรานตรีและผู้ช่วยตลอดทาง ส่วนพวกยัยหลินเริ่มหน้าเสียเพราะเริ่มรู้ตัวว่าหนทางข้างหน้าไม่ได้สบายอย่างที่คิด แต่เพราะอยากจะตามพี่เจมส์มาด้วย จึงไม่มีสิทธิ์บ่นอะไร
ส่วนฉัน สามสาวตระกูลม.ม้าและพี่สาวซาตี้ ก็คุยกันอย่างสนุกสนาน
“ปอ ป่าที่เราจะไปนี่ยังมีสัตว์ป่าอยู่ไหม?” ยัยมินท์ถามขึ้น
“เห็นพรานตรีว่ามีนะ เพราะอุดมสมบูรณ์มากอยู่เหมือนกัน” ฉันตอบยัยมินท์
“แล้วมีพวกเสือหรือสัตว์ดุๆด้วยไหม?”ยัยหม่อนถามต่อ
“มีนะ! มีเสือ มีช้าง ชาวบ้านเห็นกันบ่อย” ฉันตอบยัยหม่อน
“แล้ว...แล้วในป่ามีผีด้วยไหม?” ยัยไหมถามบ้าง
เออ! นั่นสิ ข้อนี้ฉันก็ลืมถามยาย
“มี!.....” เสียงเข้มๆของพรานตรี ตอบแทนให้
“ถ้าเข้าไปในป่า ก็ทำตัวดีๆ อย่าไปลบหลู่อะไรเข้าล่ะ” พรานตรีเตือนพวกฉัน ส่วนสามสาวตระกูล ม.ม้า ก็มองหน้ากันไปมา แล้วทำหน้าเจื่อนๆ
พักใหญ่ๆ พวกเราก็ถึงทางเดินเข้าป่าตรงตีนเขา
“เอาล่ะพวกเด็กๆ ตอนนี้เราถึงแล้ว ขนของลงได้!” พรานตรี ลงจากรถแล้วตะโกนบอกพวกเรา
“แย่แล้วลูกพี่!....” เสียงลุงทา ผู้ช่วยของพรานตรีดังขึ้น
“มีอะไร! อย่าเสียงดังสิ! เด็กๆตกใจหมด”พรานตรีตวาดลูกน้อง
“ศาล...ศาลเทพารักษ์ตรงทางขึ้นเขาหักล้มลงมา! ลางไม่ดีแล้วลูกพี่!.......”เสียงของลุงทาผู้ช่วยตอบกลับด้วยความกลัว
ส่วนพวกฉันพอได้ยินคำว่าลางไม่ดีปุ๊บ ก็ขนแขนสแตนด์อัพปั๊บกันเลยทีเดียว
ศาลก็นะ! มาหักอะไรเอาตอนนี้!
..........................................