ชาวบ้านแถวนี้เชื่อกันว่า การจะเดินเข้าป่านี้อย่างปลอดภัย ต้องสักการะศาลเทพารักษ์ก่อน เพราะเทพารักษ์จะช่วยปัดเป่าไม่ให้วิญญาณร้ายเข้ามาใกล้ตลอดการเดินทาง ซึ่งศาลเทพารักษ์ที่ว่า เป็นเสาไม้ต้นเดียวที่ด้านบนเป็นเหมือนแท่นไม้ มีรูปปั้นเทพารักษ์ขนาดกำปั้นที่ชาวบ้านปั้นไว้ และมีพื้นที่เหลือไว้ด้านหน้าสำหรับวางของเซ่นไหว้
แต่ตอนนี้ศาลที่ว่า ได้หักลงเสียแล้ว บรึ๋ยยย!
“หัวหน้าพวกเรากลับกันก่อนดีไหม? ไว้ตั้งศาลใหม่เสร็จแล้ว ค่อยกลับมาอีกที” ลุงทา พูดกับพรานตรีด้วยความตื่นกลัว
“ไม่ได้ ในฐานะมืออาชีพ เรารับงานพาพวกเด็กๆมาเดินป่าแล้วจะล้มเลิกไม่ได้!” พรานตรียืนยันหนักแน่น ดูเป็นมืออาชีพที่ทำให้พวกเราอุ่นใจ แต่ไม่นานก็หันมามองทางพวกฉัน แล้วพูดเสียงอ่อยๆว่า
“ยกเว้นคนจ้างจะยกเลิกเอง เปลี่ยนใจไหมจ๊ะเด็กๆ”
หมดกัน! มาดพรานผู้ยิ่งใหญ่เมื่อกี้ เฮ้อ!
“เดินทางต่อเถอะครับพรานตรี พวกเรามาเที่ยวปกติไม่ได้ลบหลู่อะไร ไม่น่ามีปัญหา ดูจากเสาไม้ที่หักแล้วน่าจะผุน่ะครับ” พี่เจมส์พูดขึ้นและใช้นิ้วชี้ตรงจุดที่เสาหัก ที่มีลักษณะผุจนเป็นสีดำและลีบเล็กต่างจากจุดอื่นๆ
“ใช่ครับ อีกอย่างพวกเราก็เดินทางมาตั้งไกล พรานตรีนำทางต่อเถอะครับ” พี่แม็กซ์คู่ซี้พี่เจมส์ช่วยสนับสนุน
“สาวๆ โอเคนะครับ เดี๋ยวเราก็ไปกันต่อนะ ไม่มีอะไรหรอก” พี่เจมส์หันมาพุดกับพวกฉันและพวกยัยหลิน
“ค่ะ! ไปต่อ” พวกเราตอบรับด้วยเสียงอ่อยๆ แล้วเดินตามขึ้นเขาอย่างจนใจ แต่ลึกๆอยากจะหนีกลับบ้านซะตอนนั้นเลย
แหม! ก็ศักดิ์ศรีมันค้ำคอนี่คะ ถ้ากลับก่อนก็เสียฟอร์มก็เลยต้องทำใจกล้ากันไปอย่างนั้น
ตอนนี้ขบวนเราก็เริ่มเดินทางเข้าป่านำทีมโดยพรานตรี ตามด้วยสองหนุ่มและกลุ่มยัยหลิน กลุ่มฉันอยู่ถัดมาและปิดท้ายด้วยผู้ช่วยของพรานตรีทั้งสามคนที่แบกสัมภาระไปด้วย
ป่าที่เรากำลังเดินทางเข้าไปเป็นป่าที่ค่อนข้างรก เพราะเดี๋ยวนี้มีถนนสำหรับรถวิ่ง ชาวบ้านจึงไม่ค่อยได้ใช้เส้นทางนี้ มีเพียงแค่คนเก็บของป่าบางคนเท่านั้นที่ยังเดินทางเข้ามาอยู่บ้าง ทำให้บางช่วงพรานตรีต้องใช้มีดพร้าตัดกิ่งไม้และพุ่มไม้ออกบ้างเพื่อให้พวกเราเดินได้สะดวกขึ้น
ของติดตัวเรานอกจากจะเป็นเป้ที่มีของใช้ส่วนตัวแล้ว พรานตรียังหาไม้ยาวๆมาทำเป็นไม้เท้าให้พวกเราคนละหนึ่งอัน โดยอธิบายว่าจะช่วยเบาแรงเวลาขึ้นเขาและหากเจอที่รกๆ จะช่วยไล่งูไปด้วย
พอพูดคำว่างู! พวกฉันก็ยิ่งกลัวเข้าไปอีก จะมีอะไรที่ต้องระวังอีกไหมนี่!
กลุ่มผู้ชายดูจะสนุกสนานกับการเดินป่า แต่กับสาวๆ ทั้งสองกลุ่มอย่างเรามองไปทางไหนก็ดูน่ากลัวไปหมด จนกระทั่งเดินกันมานานพักใหญ่ ยัยมินท์ก็ออกไอเดียว่า พวกเราควรร้องเพลงตอนเดินป่า เพื่อสร้างบรรยากาศให้สนุกจะได้ไม่กลัว
“แล้วเราจะร้องเพลงอะไร?” ฉันถามขึ้น
“แหม! ก็ต้องเป็นเพลงที่ทุกคนร้องได้แล้วคุ้นหูสิ” ยัยหม่อนอธิบาย
“โอเค! งั้นฉันเริ่มเลยนะ” ฉันนึกลิสท์เพลงในใจ แล้วคิดว่าเพลงนี้ทุกคนน่าจะร้องกันได้ ก็เลยนับ 1...2...3.... เอาละนะ
“ช้างๆๆๆๆ น้องเคยเห็นช้างหรือเปล่า ช้างมันตัวโตไม่เบา........” ฉันเริ่มร้องเพลงช้าง เพลงประจำตัวเด็กไทยที่ร้องกันได้ทุกคน ขณะที่กำลังจะประสานเสียงท่อนต่อไป พรานตรีก็ตะโกนมาจากด้านหน้า
“ยัยหนู! เข้าป่าเข้าไพรอย่าเรียกร้องชื่อสัตว์ ไม่อย่างนั้นเดียวพวกสัตว์จะมา คนเดินป่าเค้าถือกัน!”
ฉันรีบหยุดร้องท่อนประสานเสียงทันที แล้วเตรียมเพลงใหม่มาร้องแทน แต่ก็ไม่ทันได้ร้อง นั่นก็เพราะ....มีเสียงอื่นดังขึ้นแทน
“แปร๋นนนนน!.........แปร๋นนนนน!.........”
“เสียงช้าง .....แย่แล้วช้างมา!....พวกเราหนี!” ไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูดตอนได้ยินเสียงช้าง แต่ก็ถือว่าได้ผลเพราะพอสิ้นคำว่าหนี! พวกเราก็แตกกันไปคนละทิศคนละทางกันอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งพรานตรี
เร็วขนาดไหนน่ะเหรอ ก็เร็วประมาณคนกำลังเล่นการพนันแล้วมีเสียงตะโกนว่าตำรวจมานั่นแหละ! ตอนนี้ทุกคนหายไปจากจุดเดิม ยกเว้นก็แต่....ลุงสัง ผู้ช่วยพรานตรีที่อยู่รั้งท้ายและกำลังยืนพูดอยู่คนเดียว
‘”แหม! ใครนะโทรมาตอนนี้ อุตส่าห์ตั้งเสียงรอสายเป็นเสียงช้าง เดี๋ยวเด็กๆก็ตกใจกันพอดี โทรศัพท์อยู่ไหนนี่ อ่ะ!เจอแล้ว ปิดเสียงก่อน อ้าว! แล้วนี่หายไปไหนกันหมดนี่” ลุงสังยืนงงอยู่ในดงหญ้าเมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วไม่เจอใคร
ส่วนฉันตอนนี้วิ่งหน้าตาตื่นไม่สนใจใคร จนมารู้สึกตัวอีกทีก็ชนเข้ากับอะไรบางอย่างข้างหน้า
“ตุ่บ!.....โอ๊ย!” ฉันล้มลงก้นจ้ำเบ้า และได้สติทันทีที่ได้ยินเสียงที่ดังขึ้น
“น้องปอร์เช่!...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” ฉันหันไปมองตามเสียงก็พบว่าสิ่งที่ฉันชนก็คือพี่เจมส์นั่นเอง
“ไม่ๆ...ไม่เป็นอะไรค่ะ!” ฉันตอบด้วยความอายแล้วรีบลุกขึ้นยืน
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ ตอนนี้ทุกคนน่าจะกำลังแยกกันไปคนละทาง ส่วนช้างพี่ก็ยังไม่เห็นตัวเลย สงสัยจะไปทางอื่น ตรงนี้น่าจะปลอดภัย” พี่เจมส์อธิบายพลางปลดกระเป๋าที่สะพายลง แล้วนั่งพักที่พื้น
ฉันมองไปรอบๆ ก็พบแต่สีเขียวของป่า เมื่อเห็นพี่เจมส์นั่งลงพัก ฉันก็นั่งพักตาม
“วิ่งเร็วเหมือนกันนะเรา ขนาดอยู่ข้างหลังยังตามพี่ทัน” พี่เจมส์แซวฉันจนฉันอาย
แหม! คนมันตกใจนี่ ถึงได้ใส่เกียร์หมาโกยแน่บขนาดนี้
หลังจากนั้นเราทั้งสองก็วิเคราะห์สถานการณ์ และพยายามติดต่อคนอื่น แต่โทรศัพท์ไม่มีสัญญาณ จึงสรุปกันว่าเราจะอยู่รอที่นี่ ไม่เดินทางไปไหนต่อเพราะอาจทำให้หลงป่าได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พี่เจมส์เรียนมาจากการเข้าค่ายลูกเสือ
ซึ่งฉันก็เห็นด้วย เราจึงนั่งคุยกันเพื่อฆ่าเวลา แต่.............
หนึ่งชั่วโมง......สองชั่วโมง........สามชั่วโมง.............จนกระทั่งเริ่มมืด
ก็ยังไม่มีใคร...มาเจอพวกเราสองคนเลย.....
“สงสัยเราสองคนอาจต้องกางเต้นท์รอที่นี่ เพราะเริ่มมืดแล้ว ได้ยินมาว่าในป่าจะมืดเร็ว น้องปอร์เช่รอก่อนนะครับ เดี๋ยวพี่เริ่มกางเต้นท์ก่อน เดี๋ยวมืดกว่านี้จะกางยาก” พี่เจมส์เริ่มนำอุปกรณ์ออกมาและเริ่มกางเต้นท์
เดี๋ยวนะ........นี่มันพล็อตนิยายไทยน้ำเน่าชัดๆ พระเอกนางเอกหลงป่าแล้วได้มาอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ตายแล้ว..คืนนี้ฉันจะทำอย่างไรต่อดีนี่ อุ๊ยๆ....เขิน
ขอบคุณมากนะเจ้าช้าง.....แต่คืนนี้ไม่ต้องมานะ เพราะฉันจะอยู่กับช้างน้อย เอ๊ย! อยู่กับพี่เจมส์สองคน....อิอิ
เราสองคนโชคดีมากที่วิ่งมาเจอกัน เพราะพี่เจมส์แบกเป้ที่เป็นเต้นท์นอนกับของใช้ส่วนตัวติดมา ส่วนฉันแบกเป้ของใช้ส่วนตัวและเป้ของกินเล่นและน้ำที่เตรียมมา
พอมีเสบียงแล้วก็ทำให้เราไม่ต้องไปล่าสัตว์เหมือนในละครบางเรื่อง ที่ถือปืนไปสี่ห้าคนแต่ได้ไก่ป่ามาปิ้งกินตลอดเรื่อง จนฉันคิดว่าป่าเมืองไทยคงมีแต่ไก่ ไม่รู้ว่าป่านนี้นักแสดงค่ายนั้นเป็นเกาต์กันหมดค่ายหรือยัง เพราะคอนเซ็ปท์ในละครค่ายนี้ก็คือ “ไก่ต้องมี กาแฟต้องไม่หมด ปืนต้องไม่ขาด”
เอิ่มมม!....จะระเบิดภูเขา เผากระท่อมแค่ไหน แต่นักแสดงก็ต้องกินไก่กับกาแฟ เป็นเอกลักษณ์ที่เลียนแบบยากจริงๆ
พี่เจมส์จุดกองไฟด้วยเศษไม้รอบๆและหาก้อนหินมาล้อมกันไฟลาม นี่เป็นครั้งแรกที่เราสองคนคุยกันนานขนาดนี้ แถมเป็นครั้งแรกที่ได้มาอยู่ในป่าและวิ่งหนีช้าง
มีทฤษฎีหนึ่งบอกว่า เมื่อชายหญิงผ่านสถานการณ์คับขันหรือปัญหาร่วมกันมาได้ ทั้งคู่จะเริ่มเปิดใจและตกหลุมรักกันง่ายขึ้น
ฉันไม่รู้ว่าทฤษฎีนี้จะจริงไหม แต่ตอนนี้ฉันรู้สึกสบายใจที่อยู่ใกล้พี่เจมส์
“น้องปอร์เช่มาตามหาดอกอาฮวนทำไมหรือครับ? พี่เพิ่งได้ยินจากพี่แม็กซ์” พี่เจมส์ถามขึ้นขณะที่นั่งกินขนมปังข้างๆกองไฟ
“มันมีนิทานพื้นบ้านที่ยายของหนูเคยเล่าให้ฟังตอนเด็กๆน่ะค่ะ พอเล่าให้กับสามสาวฟัง พวกเค้าก็เลยอยากมาเห็นดอกอาฮวนด้วยกัน” ฉันตอบพี่เจมส์
“เล่าให้พี่ฟังหน่อยได้ไหมครับ พี่อยากฟังบ้าง”พี่เจมส์ขอร้องให้ฉันเล่า
“ได้ค่ะ..เรื่องก็มีอยู่ว่า....ในสมัยโบราณ มีบทกวีพื้นบ้านบทหนึ่ง
ได้แต่งถึงความหอมของต้นไม้ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าต้นอาฮวน ซึ่งผู้คนที่เดินป่าส่วนใหญ่จะรู้จักดี
ต้นอาฮวนนี้มีความพิเศษก็คือ......ตัวดอกที่ส่งกลิ่นหอมรัญจวน
ที่ชาวบ้าน....มีความเชื่อว่าเมื่อได้กลิ่นของดอกอาฮวนแล้ว...
จะทำให้ผู้คนเดินทางอยู่ในป่า....คิดถึงคนรัก...ที่รออยู่เบื้องหลัง”
ฉันเล่าเรื่องราวที่มาให้พี่เจมส์ฟัง
“โห! โรแมนติคมากเลยนะครับ ทำเอาพี่อยากได้กลิ่นดอกอาฮวนบ้างแล้วสิ อยากรู้เหมือนกันว่าพอได้กลิ่นแล้วจะรู้สึกแบบไหน” พี่เจมส์พูดแล้วมองมาที่ฉัน ตอนนี้สายตาของเราทั้งคู่ก็ประสานกันเป็นครั้งแรก
ตุ๊บ!...ตุ๊บ!...ตุ๊บ!...ตุ๊บ!...
เฮ้ย! ทำไมหัวใจฉันเต้นแรงนี่ หรือว่าฉันป่วย ไม่สบาย! ฉันรีบเอามือจับไปที่หัวใจตัวเองเพื่อเช็คอาการทันที
“น้องปอร์เช่ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” พี่เจมส์เห็นท่าทีฉันแล้วสงสัย
“เอ่อ!...เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร!” ฉันรีบปฏิเสธ
“อันที่จริงนอกจากพาเพื่อนๆมาตามหาดอกอาฮวนแล้ว หนูก็อยากเอาดอกอาฮวนไปให้ยายด้วยค่ะ”ฉันเล่าเรื่องเพิ่มและเริ่มคิดถึงยาย
“ทำไมถึงอยากเอาดอกอาฮวนไปฝากยายล่ะครับ” พี่เจมส์ถามอีก
“เพราะยายของหนู ผูกพันธ์กับดอกอาฮวนมานานมาก และยายอยากเห็นดอกอาฮวนอีกสักครั้งในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่ค่ะ” ฉันเล่ารายละเอียดเพิ่มเติมให้พี่เจมส์ฟัง เกี่ยวกับความรักความผูกพันธ์ของยายและดอกอาฮวน
ส่วนเรื่องราวจะเป็นอย่างไรนั้น!.......... ขอตอนหน้านะ แล้วฉันจะเล่าให้ฟัง!