บางครั้ง....ในความว่างเปล่าก็จะเติมความว่างเปล่าในตัวเราให้สมบูรณ์
ยายของฉันเป็นลูกสาวของทวดที่เป็นเพียงชาวนา ยายมีพี่น้องทั้งหมดห้าคนและเป็นน้องสาวคนสุดท้อง ไม่ว่ายุคสมัยไหนคนอาชีพชาวนาไม่สามารถร่ำรวยได้ ครอบครัวของยายจึงมีฐานะยากจน
สมัยก่อนลูกของชาวบ้านมักจะไม่ได้เรียนหนังสือ แต่โชคดีที่ยุคนั้นเริ่มมีนโยบายการศึกษาภาคบังคับ ยายจึงได้เรียนซึ่งสมัยนั้นจะบังคับเรียนจนถึง ป.4
ยายเป็นคนชอบเรียนหนังสือมาก เพราะได้เจอและเล่นกับเพื่อนๆในวัยเดียวกัน และเมื่ออ่านออกเขียนได้ สิ่งที่ยายชอบมากก็คือการอ่านหนังสือ เพราะหนังสือช่วยเปิดโลกของยายให้กว้างขึ้น
โลกของยายก็ยังวนเวียนไปแบบเดิม จนกระทั่งวันหนึ่งยายก็ได้มาพบกับตาในตอนที่ยังเป็นเด็ก
ตาเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกนำมาทิ้งที่วัด หลวงพ่อที่เป็นเจ้าอาวาสพบตาในวันหนึ่งขณะที่กำลังจะออกไปบิณฑบาต ตาจึงเป็นเด็กวัดตั้งแต่นั้นมา
ไม่มีใครรู้ว่าพ่อแม่ของตาเป็นใคร แต่เมื่อตอนที่ตาโตขึ้น ทุกคนในหมู่บ้านต่างก็รู้จักตา เพราะภาพเด็กชายที่คล่องแคล่ว ฉลาด ไม่กลัวคน แต่นอบน้อม และคอยรับใช้หลวงพ่ออยู่ประจำ ทำให้คนจดจำตาได้เป็นอย่างดี ไม่เว้นแม้แต่ยาย
“เธออ่านหนังสือหนังสืออะไรน่ะ?” นี่เป็นประโยคแรกที่ตาทักยายตอนสมัยเด็ก ในวันที่เจอกันวันแรก
ยายที่นั่งรอพ่อกับแม่ที่ท่าน้ำในวัดก็ตอบไปตามประสาเด็ก ทั้งสองคุยกันอยู่พักใหญ่ หลวงพ่อก็เรียกตาไปหา เรื่องราววันแรกก็จบอยู่แค่นี้
แต่หลังจากนั้นทุกครั้งที่ยายไปวัด ตาก็เข้ามาทักทายและชวนพูดคุยตลอด
จนกระทั่งทั้งสองคนโตเป็นวัยรุ่น
ยายกลายเป็นสาวสวยที่หนุ่มๆหมายปอง แต่ยายก็ยังไม่สนใจใคร ก็ช่วยที่บ้านทำนาไปเรื่อยๆ สมัยก่อนการที่หนุ่มสาวจะเจอกันได้ ส่วนใหญ่มักจะเป็นที่งานวัดและทุกครั้งที่มาวัด ตาจะเป็นคนจองคุยกับยายเสมอทำให้หนุ่มคนอื่นๆแทบไม่มีสิทธิ์ได้คุย
ตอนเป็นวัยรุ่นตาไม่ได้ถึงกับหล่อ แต่รูปร่างสูงใหญ่และเป็นหัวโจกของกลุ่มเด็กวัด สมัยนั้นก็เรียกได้ว่าเป็นนักเลงพอตัว
สิ่งที่หนุ่มๆ ในหมู่บ้านไม่รู้ก็คือยายเป็นคนชอบบทกลอน ยายเคยบอกว่าเวลาอ่านบทกลอนทำให้เราสามารถคิดจินตนาการได้มากมาย และมันช่วยปลอบประโลมจิตใจคนชั้นล่างได้เป็นอย่างดี
ตาเองถึงแม้ไม่ได้เรียนภาคบังคับ แต่หลวงพ่อก็สอนอ่านเขียนตั้งแต่เด็กและถือเป็นนักเลงกลอนคนหนึ่ง ทุกครั้งที่เจอยายถ้าไม่ท่องกลอนให้ฟัง ก็จะเขียนจดหมายเป็นคำกลอนแอบส่งให้ยายอยู่เสมอ
นั่นอาจเป็นจุดเริ่มต้นของความรักของทั้งสองคน
“ถึงม้วยดิน สิ้นฟ้า มหาสมุทร
ไม่สิ้นสุด ความรัก สมัครสมาน
แม้อยู่ใน ใต้หล้า สุธาธาร
ขอพบพาน พิศวาส ไม่คลาดคลา
แม้เนื้อเย็น เป็นห้วง มหรรณพ
พี่ขอพบ ศรีสวัสดิ์ เป็นมัจฉา
แม้เป็นบัว ตัวพี่ เป็นภุมรา
แม้เป็นถ้ำ อำไพ ใคร่เป็นหงส์
จะร่อนลง สิงสู่ เป็นคู่สอง
ขอติดตาม ทรามสงวน นวลละออง
เป็นคู่ครอง พิศวาส ทุกชาติไป ฯ”
อันนี้ตาไม่ได้คิดเอง แต่คัดมาจากวรรณคดีของสุนทรภู่ มาจากตอนที่พระอภัยมณีให้คำมั่นสัญญากับนางละเวง ซึ่งแม้จะเป็นการคัดบทกลอนมาให้ แต่ยายก็ชอบอ่านและบางครั้งยายก็เขียนตอบเช่นกัน
“ในลักษณ์นั้นหนาน่าประหลาด
เป็นเชื้อชาตินักรบกลั่นกล้า
ไยไม่คิดอาจเอื้อมให้เต็มที่
เมื่อไม่เอื้อมจะได้อย่างไรมี
ถ้าไม่คิดปีนป่ายจะได้หรือ
ฤๅแย่งยื้อถือได้โดยไม่ยอม
ไม่คิดสอยมัวคอยดอกไม้ร่วง
กลอนบทนี้ ยายก็คัดมาจากวรรณคดีเรื่องท้าวแสนปม ตอนที่นางอุษาเขียนตอบท้าวแสนปมตอนที่ส่งจดหมายมาจีบ
บางครั้งชีวิตก็ไม่ได้แตกต่างจากนิยาย เมื่อวันหนึ่งลูกชายของกำนันก็มาจีบยายเช่นกัน กำนันถือเป็นผู้กว้างขวางและมีฐานะดี ลูกชายของกำนันก็เลยเป็นนักเลงเช่นกัน
วันงานประจำปีที่วัดลูกชายของกำนันเดินมากับพวกแล้วจะชวนยายไปรำวง แต่ตาไม่ยอมจึงมีเรื่องกัน
สมัยก่อนเวลามีเรื่องกันก็มักจะดวลกันตัวต่อตัว ซึ่งตาก็ชนะอย่างขาดลอย แต่คนพาลก็คือคนพาล ลูกกำนันไม่ยอมแพ้สั่งให้สมุนรุมเตะต่อยตา โชคดีที่เพื่อนของตามาเห็นจึงเข้าไปช่วยไว้ทัน
ตั้งแต่นั้นพ่อของยายก็ห้ามยายคุยกับตาอีก และพยายามเปิดทางให้ลูกชายของกำนันแทน สาเหตุเดียวก็คือ...ตอนนั้นตาจนมากและยังเป็นแค่เด็กวัดที่ไม่มีการงานทำ
บางทีความจนคงเป็นสิ่งน่ารังเกียจจริงๆ เพราะแม้แต่คนที่จนเหมือนกันก็ยังรังเกียจกันเอง
แต่นั่นสำหรับคนทั่วไป....ที่ไม่ใช่ยาย
แม้พ่อของยายจะห้ามไม่ให้คุยกัน แต่ยายกับตาก็ยังแอบส่งจดหมายคุยกันอยู่ดี
วันหนึ่งลูกชายของกำนันซื้อน้ำหอมราคาแพงให้กับยายเป็นของขวัญ ตารู้เข้าก็น้อยใจในวาสนาจึงตัดสินใจไม่ส่งจดหมายหายายไปเป็นเดือน
ส่วนยายพอไม่ได้ติดต่อกับตาก็เป็นทุกข์ กระวนกระวายจนร่างกายผอมลงมาก
จนกระทั่งเข้าเดือนที่สอง จดหมายจากตาก็ส่งมาหายายจากการไหว้วานเพื่อนที่รู้จักของตาเป็นคนส่งให้
ยายดีใจมาก พอไม่มีใครอยู่บ้านก็แอบเปิดจดหมายอ่านทันที
“ฉันพยายามจะเขียนเป็นกลอนเหมือนเดิม แต่มันคงยากเกินไปสำหรับคนที่มีความรู้ต้อยต่ำอย่างฉัน ที่จะอธิบายความรู้สึกในตอนนี้”
“ฉันมันคนจนไม่มีเงินทองไปซื้อน้ำหอมราคาแพงเป็นของขวัญให้เธอได้ มีปัญญาก็เพียงแต่เด็ดดอกอาฮวนในป่ามาให้เธอ”
“คนโบราณเชื่อว่าคนหลงป่าหรือเดินทาง เมื่อได้กลิ่นดอกอาฮวนจะคิดถึงคนที่รักและหาทางกลับบ้านได้ถูก แต่ฉันกลับคิดถึงเธอตั้งแต่ยังไม่ได้กลิ่น และเมื่อได้กลิ่นแล้ว....ก็คิดถึงเธอมากขึ้นจริงๆ”
“ก็ได้แต่หวังว่ากลิ่นหอมของดอกอาฮวนนี้จะทำให้เธอคิดถึงฉันบ้าง แม้เพียงเสี้ยวหนึ่งในความคิดถึงของฉันก็พอ”
พออ่านจดหมายจบ ยายก็น้ำตาร่วงเพราะในความคิดถึงของยายมันมากกว่าเศษเสี้ยวความคิดถึงมากนัก เพราะตอนนี้แค่กลิ่นหอมของดอกอาฮวนเพียงดอกเดียว ก็เพียงพอที่จะให้ยายคิดถึงตาทั้งชีวิต
จากนั้นทุกครั้งที่ตาเขียนจดหมายหายาย ก็จะแนบดอกอาฮวนไปด้วย และเมื่อยายอ่านจดหมายจบก็จะเอาดอกอาฮวนทัดหูไว้เพื่อให้ได้กลิ่นและคิดถึงตา ความลับนี้มีเพียงตาและยายเท่านั้นที่รู้
ตั้งแต่นั้น ชาวบ้านจึงชอบเรียกยายว่าแม่หญิงอาฮวน เพราะมักจะใช้ดอกอาฮวนทัดหูอยู่ตลอดเวลา
วันหนึ่งพ่อของยายก็ส่งยายประกวดนางงามประจำตำบล ตามคำทาบทามของแมวมองจากกรุงเทพฯ ที่เห็นความสวยของยายเข้า
สมัยนั้นหากคุณต้องการเปลี่ยนชีวิต สำหรับผู้ชายก็คือรับราชการ หรือค้าขายจนร่ำรวย แต่สำหรับผู้หญิงที่ฐานะไม่ดี บันไดก้าวแรกที่จะสามารถเปลี่ยนชีวิตได้อย่างรวดเร็ว ก็คือ...การประกวดนางงาม
และการประกวดนางงามครั้งนี้
ก็ทำให้....ชีวิตของตาและยายได้เปลี่ยนไปตลอดกาล
........................................