หลังฉันเล่าเรื่องของยายและความผูกพันธ์กับดอกอาฮวนจบ พี่เจมส์เองก็มีน้ำตาซึมออกมา จนฉันแอบรู้สึกว่าผู้ชายก็มีด้านที่อ่อนไหวเหมือนกัน
คืนนั้นฉันอยู่คุยกับพี่เจมส์ทั้งคืน บางทีระยะห่างของคนสองคน อาจร่นระยะลงได้ด้วยการพูดคุย แม้เราไม่เคยคุยกันนานๆ นั่นทำให้ฉันรู้สึกว่าการได้รู้จักใครก็ไม่ได้เป็นเรื่องยาก
ท่ามกลางท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว ทำให้บรรยากาศของการคุยกันดูมีความพิเศษมากยิ่งขึ้น
คืนนั้นฉันนอนในเต้นท์ขณะที่พี่เจมส์นั่งอยู่ด้านนอกเพื่อคอยระวังพวกสัตว์ต่างๆ และค่ำคืนนั้นก็ผ่านไปด้วยดี
แต่ไม่มีใครรู้ว่า ในคืนนั้นตรงต้นไม้ใหญ่ใกล้กับเต้นท์ที่ฉันนอนอยู่มีเงาดำที่รูปร่างเหมือนคนแอบดูอยู่
“ยัยหนู! คืนนี้ข้าจะช่วยเฝ้ายามให้ จะไม่ไปเป็นก้างขวางคอเจ้าละกัน” เงาสีดำที่ดูวูบวาบกลับกลายเปลี่ยนเป็นรูปร่างของหญิงสาวกลางคนที่คุ้นเคย ซึ่งหากฉันเห็นก็คงจำได้เพราะนั่นคือร่างของพี่สาวซาตี้นั่นเอง
เช้าวันรุ่งขึ้นพรานตรีก็ตามหาเราสองคนจนเจอ และพามาพบกับทุกคนในทีมเดินป่า พรานตรีเล่าว่าหลังจากเกิดเรื่องที่ทุกคนแยกย้าย พรานตรีก็ไล่ตามหาพวกเราได้ทั้งหมดภายในเวลาไม่นาน ยกเว้นฉันและพี่เจมส์
พรานตรีบอกว่าได้ลองวิธีสุดท้ายคือทำการเซ่นไหว้เทพารักษ์ และลองเสี่ยงทายดู ผลออกมาว่าพวกฉันปลอดภัย พรานตรีก็เลยพักการค้นหาและตามหาอีกทีในตอนเช้า ซึ่งอันที่จริงฉันไม่ได้อยู่ไกลจากจุดที่ทุกคนอยู่มากนัก
เมื่อทุกคนเจอกันครบ พวกเราก็ออกเดินทางต่อ จุดหมายคือต้นอาฮวนป่าที่พรานตรีเคยเห็น ซี่งเป็นจุดพักแรมที่สวยที่สุดของป่าแห่งนี้ ที่พี่เจมส์และพี่แม็กซ์ตั้งใจมา
เราเดินทางกันนานหลายชั่วโมง พรานตรีดูแลพวกเราดีมาก เสบียงและน้ำดื่มที่เตรียมมาเพียงพอต่อพวกเรา จนบางทีฉันก็สงสัยว่าสัมภาระที่พวกเราเอามามันจะต้องหนักขนาดไหน ถึงได้มีให้กินได้เพียงพอกับคนสิบกว่าคนได้ตลอดการเดินทาง
และแล้วเมื่อถึงช่วงเย็น พรานตรีก็บอกกับพวกเราว่า
“พ้นเนินข้างหน้าก็จะเป็นจุดหมายของเราแล้ว ต้นอาฮวนและจุดพักแรมอยู่ข้างหน้านี่แหละ” พรานบุญพูดพร้อมชี้ไปที่เนินด้านหน้า
เมื่อได้ยินคำนี้ พวกเราก็มีพลังมากขึ้น และคาดหวังว่าจะได้พักผ่อนหลังจากเดินกันมาทั้งวัน
จนเมื่อพ้นเนินที่ว่า พวกเราก็พบกับพื้นที่ราบแห่งหนึ่งที่เป็นเหมือนหน้าผาที่สามารถมองเห็นวิวของภูเขาลูกนี้และพื้นที่โดยรอบ
ท้องฟ้าสีวนิลาที่มีฝูงนกกำลังบินกลับรังเป็นภาพที่งดงามและตราตรึงพวกเรา จนความเหนื่อยล้าที่สะสมมาจากการเดินทางหายไปจนหมด เมื่อมองไปโดยรอบเราก็พบว่า ตอนนี้พวกเราถูกห้อมล้อมด้วยดอกไม้ป่ามากมาย พร้อมด้วยลำธารเล็กๆที่ไหลรินและให้ความชุ่มฉ่ำ
และเมื่อเรามองไปรอบๆ พรานตรีก็ชี้ไปที่ต้นไม้ต้นหนึ่งและบอกพวกเราว่ามันคือต้นอาฮวนที่พวกเรากำลังตามหา
มันเป็นต้นไม้สูงใหญ่ต้นหนึ่งที่มีใบขนาดไม่ใหญ่มากเป็นทรงพุ่มสวยงามสีเขียว ที่ให้ร่มเงากับดอกไม้ป่าเล็กๆที่ขึ้นโดยรอบ
แต่…ไม่มีดอกอาฮวนสีขาวดอกเล็กๆที่ส่งกลิ่นหอมรัญจวน ตามที่ฉันและเพื่อนๆหวังเอาไว้
ฉันรู้สึกหมดแรงทันทีที่เห็นว่าไม่มีดอกอาฮวนตามที่ตั้งใจ สามสาวตระกูล ม.ก็เช่นกัน ความรู้สึกตอนนี้เหมือนพวกเราอ่านหนังสือและตั้งใจทำข้อสอบ แต่สอบตก
“ไม่เป็นหรอกน้องปอร์เช่ อย่างน้อยพวกเราก็ได้เห็นและรู้จักต้นอาฮวนนะ” พี่เจมส์เดินเข้ามาปลอบ
แต่ตอนนั้นพวกฉันก็น้ำตาซึมและทำท่าจะร้องไห้ จนกระทั่งได้ยินเสียงของพรานตรี
“ถึงจะไม่เห็นดอกอาฮวน แต่พวกหนูก็เอาไปปลูกที่บ้านได้นะ ”
พรานตรีแนะนำพวกฉันเรื่องการนำกิ่งและเมล็ดไปปลูก
“แล้วมันจะขึ้นหรือคะ? ขนาดยายหนูปลูกตั้งหลายครั้งก็ยังไม่ขึ้นเลย!” ฉันถามพรานตรี
“ขึ้นสิ! แม้ต้นอาฮวนจะขึ้นเฉพาะพื้นที่ป่า แต่ต้นอาฮวนที่อยู่มานานขนาดนี้ กิ่งและเมล็ดของมันก็แข็งแรงสามารถปลูกขึ้นได้แน่นอน เพราะที่บ้านของหนูพื้นที่อากาศไม่ต่างจากในป่ามากนัก” พรานตรีอธิบาย
เมื่อฟังพรานตรีจบพวกฉันก็ดีใจมากขึ้น และตั้งใจว่าพรุ่งนี้ตอนขากลับจะนำเมล็ดพันธ์และกิ่งไปปลูกที่บ้าน เพื่อรอให้ต้นโตและออกดอก
เย็นวันนี้นหลังจากที่ตั้งเต้นท์เสร็จแล้ว พรานตรีและผู้ช่วยก็เตรียมอาหารให้อย่างสุดฝีมือ ซึ่งอร่อยทุกเมนู พวกเราก็คุยเรื่องราวมากมายแลกเปลี่ยนกัน แม้ยัยหลินและพวกจะคอยขัดตอนเล่าอยู่บ้างแต่ฉันก็ไม่ได้โกรธ เพราะถึงแม้จะไม่ได้เห็นดอกอาฮวนตามที่ตั้งใจ แต่ความหวังที่จะปล฿กต้นอาฮวนที่บ้านแทน ก็ยังพอชดเชยได้อยู่บ้าง
จนกระทั่งเริ่มดึก ทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน เนื่องจากเต้นท์ของเราใหญ่ฉันจึงนอนกับ สามสาวตระกูลมและพี่สาวซาตี้รวมห้าคน ส่วนแก๊งค์ยัยหลินแบ่งนอนสองเต้นท์ พี่เจมส์และพี่แม็กซ์นอนด้วยกันส่วน พรานตรีและผู้ช่วยนอนด้านนอกคอยระวังสัตว์ร้าย
สามสาวตระกูล ม. ม้าถามฉันเรื่องเมื่อคืนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง ฉันก็เล่าตามจริง สามสาวบ่นเสียดายนึกว่าจะมีอะไรที่น่าตื่นเต้นกว่านี้ เราหยอกล้อกันสักพัก ยัยมินท์ก็เริ่มคำถามที่เปลี่ยนบทสนทนา
“แกว่าที่ป่านี้มีผีมั้ย?” ยัยมินท์เริ่มก่อน
“ไม่รู้ แต่ว่าแกจะถามทำไม ฉันกลัวนะ! ”ยัยหม่อนสาวเนิร์ดเริ่มกลัว
“เมื่อคืนฉันก็กลัวนะ เหมือนมีเงาดำๆ วนอยู่รอบๆเต้นท์” ยัยไหมสาวจอมกินเล่าเหตุการณ์เมื่อคืน
“จริงดิ!” พวกเราทุกคนประสานเสียง ยกเว้นพี่สาวซาตี้
“แล้วคืนนี้พวกเราจะเจอกันมั้ย?” ยัยหม่อนสาวเนิร์ดขึ้นชื่อว่ากลัวผีที่สุดถามขึ้น
“ไม่หรอกน่า พวกเราอยู่กันตั้งเยอะไม่น่าเจอหรอก” ฉันเอ่ยขึ้นบ้าง
พวกเราคุยกันอยู่สักพักก็เริ่มง่วง และฉันก็หลับไป
จนกระทั่งฉันรู้สึกหนาวจนขนลุก และได้ยินเสียงบางอย่างที่ด้านนอก แว่วดังเบาๆเข้ามา