“ช่วยด้วย........” เสียงขอความช่วยเหลือของผู้หญิงดังขึ้นอย่างแผ่วเบา ทำเอาฉันสะดุ้งด้วยความกลัว
“พี่สาวซาตี้...ได้ยินเสียงอะไรไหม?” ฉันสะกิดพี่สาวซาตี้ที่นอนอยู่ใกล้ๆ แต่ใครจะคิดว่าพี่สาวซาตี้หลับสนิท นอนกรนกรนคร่อกๆ
ไม่ว่าฉันจะเขย่าตัวแค่ไหน พี่สาวซาตี้ก็นอนแบบไม่สนใจโลก
“โอ๊ย! อะไรจะขี้เซาขนาดนี้” ฉันบ่นเบาๆ และเริ่มสะกิดสามสาว ตระกูล ม. ม้า
“มินท์ หม่อน ไหม ได้ยินเสียงอะไรไหม?” ฉันเขย่าตัวเพื่อนทั้งสามคนและเรียกชื่อเบาๆ แต่ก็ไม่มีใครตื่นเลย
“ไม่ต้องเรียกใครหรอก......มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ได้ยินเสียงข้า” เสียงลึกลับดังขึ้นอีก เหมือนมองเห็นว่าฉันกำลังทำอะไร
“เฮ้ย! รู้ได้อย่างไรนี่!” ฉันตกใจเมื่อได้ยิน
“ออกมาข้างนอกแล้วช่วยข้าด้วย....” เสียงลึกลับดังขึ้นอีกครั้งและเรียกฉันออกไปข้างนอก
“เอาไงดีนี่ ฉันก็กลัวผีนะเฟ้ย!” ฉันเริ่มกลัวจนขนลุกไปหมด ในใจไม่รู้ว่าจะทำอย่างๆไรดี แต่ก็ไม่รู้มีอะไรมาดลใจ ทำให้ฉันตัดสินใจเปิดเต้นท์แล้วออกมาข้างนอก
ฉันมองไปที่ด้านหน้าและมองซ้ายขวา ก็ไม่มีเห็นมีอะไร จึงหายใจออกด้วยความโล่งอก แต่เมื่อหันหลังกลับมาก็ตกใจแทบช็อค
เพราะสิ่งที่ฉันเห็นอยู่ตอนนี้ เป็นภาพวิญญาณตนหนึ่งที่โปร่งแสงและมีรูปร่างคล้ายผู้หญิงแต่ว่าเห็นไม่ชัดเจนและตอนนี้ กำลังลอยเข้ามาใกล้ๆ
“เธอ... เป็นผีหรือเปล่า?” ฉันเริ่มกลัวมากขึ้น เมื่อเห็นร่างโปร่งแสงลอยเข้ามาใกล้ๆ
เมื่อได้ยินฉันถาม ร่างโปร่งแสงก็หยุดอยู่กับที่ห่างจากฉันประมาณห้าเมตร
“ข้าเป็นเพียงวิญญาณเร่ร่อน ไม่ใช่ผี” ร่างโปร่งแสงตอบ
“วิญญาณงั้นก็เป็นผีน่ะสิ!” ฉันตกใจ
“วิญญาณคือพลังงานรูปแบบหนึ่ง แต่ไม่ใช่ผี เพราะผีคือวิญญาณที่มุ่งร้าย” ร่างโปร่งแสงอธิบาย
เดี๋ยวนะ! วิญญาณไม่ใช่ผี แต่ผีคือวิญญาณรูปแบบหนึ่ง อิหยังวะนี่ งงเลยฉัน ในขณะที่ฉันกำลังยืนงงในคำตอบ ร่างโปร่งแสงก็พูดต่อ
“ข้าอยากให้เจ้าช่วย ข้าเป็นวิญญาณเร่ร่อนในป่านี้มานาน ไม่มีทางได้ผุดได้เกิดเพราะหาทางกลับบ้านไม่ได้ วันนี้เห็นเจ้าและเพื่อนเดินทางมาหาต้นอาฮวนและจะเอาไปปลูก ข้าจึงอยากให้เจ้าอัญเชิญวิญญาณของข้าเข้าไปในเมล็ดของต้นอาอวน เพื่อที่ข้าจะได้ออกจากป่าแล้วไปเกิดสักที” ร่างโปร่งแสงอธิบาย
“อัญเชิญวิญญาณ! ฉันทำไม่เป็นหรอก แล้วทำไมไม่ไปบอกคนอื่นมาบอกฉันทำไม ฉันยิ่งกลัวผีอยู่” ฉันรีบตอบปฏิเสธ
“ที่ข้าติดต่อเจ้าได้ เพราะคลื่นจิตของเจ้ากับข้านั้นตรงกัน เหมือนกับวิทยุที่ตรงช่อง จึงสามารถสื่อสารกับเจ้าได้ ส่วนคนอื่นๆ มีคลท่นจิตที่ไม่ตรงกับข้า จึงไม่ได้ยินและมองเห็นข้าได้”
“ส่วนวิธีอัญเชิญดวงวิญญาณ เจ้าก็แค่จุดธูปหนึ่งดอก แล้วกำเมล็ดดอกอาฮวนไว้ในมือแล้วเอ่ยชื่อดวงวิญญาณของข้าให้เข้าไปอยู่ในนั้น แค่นี้ก็เรียบร้อย” ร่างโปร่งแสงอธิบาย
“และข้าก็ไม่ได้ให้เจ้าช่วยเปล่าๆ เมื่อข้าอยู่ในเมล็ดก็จะถ่ายทอดพลังวิญญาณบางส่วน เพื่อช่วยให้ต้นอาฮวนของเจ้าเติบโตเร็วขึ้นและไม่ตายง่ายๆ แลกเปลี่ยนกันแบบนี้เจ้าพอใจหรือยัง” ร่างโปร่งแสงยื่นข้อเสนอ
“แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่ได้โดนหลอก” ฉันถามขึ้นอย่างสงสัย
“ถ้าข้าจะหลอก คงไม่เสียเวลามาขอร้องเจ้าหรอก อีกอย่างตั้งแต่ต้นข้าก็ไม่ได้ทำร้ายเจ้าเลย เพราะว่าข้ามาด้วยเจตนาดี ” ร่างโปร่งแสงอธิบาย
ฉันมานั่งนึกตรึกตรองดูว่าที่วิญญาณตนนี้พูดก็มีส่วนถูก ถ้าหวังร้ายจริงๆคงไม่ต้องมานั่งพูดคุยกัน อีกอย่างหนึ่งฉันก็ไม่มีสิ่งไหนที่เสียนอกจากช่วยเชิญวิญญาณ เข้ามาอยู่ในเมล็ด ถือซะว่าได้ช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลก แม้จะเป็นแค่วิญญาณก็เถอะ
“ตกลงฉันจะช่วยเธอเอง” ฉันตอบตกลง จากนั้นก็ทำตามที่วิญญาณเร่ร่อนแนะนำ เมื่อจุดธูปและกล่าวตามเรียบร้อย ร่างโปร่งแสงก็ลอยเข้าไปอยู่ในเมล็ดของต้นอาฮวนอย่างง่ายดาย
ในขณะที่วิญญาณเร่ร่อนกำลังลอยเข้าสู่เมล็ดอาฮวนนั้น ก็ส่งเสียงบอกกับฉันว่า
“ยัยหนูหากเจ้ารักใคร อย่าสาบานว่าจะรักและรอคอยผู้ชายคนนั้นทุกชาติ เพราะท้ายที่สุดวิญญาณของเจ้าก็จะไม่ได้ไปไหนและรอคอยอย่างไร้ความหวัง ข้าวนเวียนอยู่ในป่านี้มาเป็นระยะเวลานานเพราะคำสาบานนี้ ข้าขอขอบคุณเจ้าและอวยพรให้เจ้าพบคู่ชีวิตที่ดี และมีความรักที่สวยงาม ”
“ขอบคุณจริงๆ” สิ้นประโยคสุดท้าย วิญญาณเร่ร่อนก็หายเข้าไปในเมล็ดจนหมด ปล่อยให้ฉันอยู่กับภวังค์ในคำพูดที่ได้ยินช่วงสุดท้าย
“เจ้านี่ใจบุญดีนะ” เสียงคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง ทำให้ฉันได้สติ
“พี่สาวซาตี้! ตื่นแล้วเหรอนี่ เมื่อกี้หนูตกใจแทบตาย” ฉันดีใจที่เห็นพี่สาวซาตี้ตื่นขึ้นมาเป็นเพื่อน
“ยัยหนูครั้งหน้าถ้าเข้าป่า อย่าทำแบบนี้อีก วิญญาณมีหลายประเภทและบางประเภทก็ล่อลวงให้เจ้าอัญเชิญวิญญาณแต่ไปนสิงสู่และมุ่งร้ายกับคนในครอบครัวเจ้า” พี่สาวซาตี้อธิบาย
“หา! งั้นวิญญาณดวงนี้ก็หลอกหนูน่ะสิ” ฉันเริ่มตกใจกลัว
“ไม่หรอก วิญญาณดวงนี้พูดความจริง นางน่าสงสารมาก นางเฝ้ารอผู้ชายคนหนึ่งตรงนี้มานานแสนนาน และเพราะคำสาบานนางจึงไปไหนไม่ได้และรอคอยอย่างไม่มีความหวัง”
“งั้นก็ถือว่าหนูได้ทำบุญใช่ไหมพี่สาวซาตี้?” ฉันถามขึ้นหลังจากได้ยินประโยคเมื่อครู่
“ใช่แล้ว ครั้งนี้เจ้าเลือกถูก บุญที่เจ้าได้ช่วยเหลือดวงวิญญาณจะช่วยเจ้าในอนาคต” พี่สาวซาตี้ตอบกลับ
“แล้วคนรักของดวงวิญญาณเร่ร่อนดวงนี้ไปไหน ทำไมถึงทิ้งให้รออยู่ที่นี่และไม่กลับมา” ฉันเริ่มสงสัย
“วิญญาณเร่ร่อนและคนรักของนางหนีตามกันมาที่ป่าแห่งนี้ เมื่อไม่มีทางหนีฝ่ายชายจึงให้ผู้หญิงรออยู่ที่นี่และตัวเองออกไปหาอาหาร แต่ก็พลาดถูกเสือกิน กลายเป็นดวงวิญญาณและได้เกิดใหม่”
“อ้าว! แล้วทำไมวิญญาณฝ่ายหญิงถึงไม่ได้ไปเกิดใหม่ล่ะ?” ฉันยิ่งสงสัยหนักกว่าเดิม
“คำสัญญาไม่ได้มีผลรุนแรงเท่ากับจิตใจที่ตั้งมั่น เพราะฝ่ายหญิงยึดมั่นเรื่องความรักและคำสัญญามากเกินไป จนไม่รู้จักปล่อยวาง แม้จะหมดอายุขัยไปแล้ว วิญญาณถึงได้แต่วนเวียนอยู่ที่นี่ไม่สามารถไปไหนได้” พี่สาวซาตี้พูดจบก็ถอนหายใจ และให้ฉันไปพักผ่อน
คืนนั้นฉันคิดเรื่องนี้อยู่นาน ไม่รู้ว่าการที่เรารักใครสักคนและสาบานกันว่าจะรักกันตลอดไปทุกชาตินั้นถูกต้องหรือไม่ หรืออันที่จริงเราควรรักใครสักคน เท่าที่ลมหายใจนี้สิ้นไปก็พอ
รุ่งเช้าพวกเราก็ถ่ายรูปและเก็บของกัน เพื่อเดินทางกลับ ตลอดทางก็ไม่ได้มีเรื่องวุ่นวายอะไรนอกจาก การพูดแขวะกันในช่วงแรกจากยัยหลินและเพื่อน จากนั้นไม่นานพอเริ่มเหนื่อย เสียงแขวะก็หายไป
เมื่อถึงบ้าน ฉันและยายก็นำเมล็ดต้นอาฮวนที่มีดวงวิญญาณดวงนั้นอาศัยอยู่ ลงปลูกในตำแหน่งที่เคยมีต้นอาฮวนต้นเดิม หลังปลูกเสร็จ ยายมองฉันอยู่สักพักแล้วก็ยิ้ม จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นและพูดเบาๆว่า
“ฉันคิดถึง...เธอเหลือเกิน.....อีกไม่นาน...เราคงจะได้เจอกัน”
...........................