หลังจบงาน Live สด ที่พบปะแฟนคลับ สื่อก็ลงข่าวพี่ปาหนี้กันยกใหญ่ เรื่องที่เข้าไปแสดงผิดงานซึ่งพี่ปาหนี้ก็พูดสั้นๆกับสื่อว่า “วงการบันเทิงอ่ะเนาะ” แล้วก็ให้พี่แก้วพูดต่อแทนซึ่งผู้คนก็ไม่ได้ต่อว่าพี่ปาหนี้เพราะมีข่าวที่ดังกว่านั้น นั่นก็คือเจ้าของร้านและแฟนคลับที่อยู่ในงานวันนั้นถูกหวยกันถ้วนหน้าจ้า เพราะวันนั้นพี่ปาหนี้สนุกมาก ผู้คนจึงเห็นใบหูนำโชคอย่างเต็มตา
“ 39 ค่ะ เต็มๆ ดิฉันก็เลยทุ่มไปเลยหมดหน้าตัก”
“แม่นจริงๆค่ะ แถมเห็นกันชัดๆ ครั้งหน้าจะตามไปแปะทองในคอนเสิร์ตแน่นอนค่ะ”
“เป็นเจ้าของร้านวันนั้นค่ะ จบคอนเสิร์ตเดินออกมามีคนมาขายลอตเตอรี่เลขนี้พอดี เลยซื้อไว้! ก็ได้รางวัลที่หนึ่งสิบสองล้านเลยค่ะ ดีใจมากๆเลยค่ะ”
เพราะข่าวถูกหวยกลบเรื่องที่ขึ้นคอนเสิร์ตผิดงานไปจนหมด นอกจากพี่ปาหนี้จะไม่มีใครว่าแล้ว คิวการแสดงของแกยังถูกจองเต็มไปจนถึงปีหน้าอีกด้วย
แน่นอนว่า Live ของฉันก็เลยมีคนดูเป็นหลักหลายล้านเป็นครั้งแรก
“โฮ่ะๆๆ! ...ยัยหนูเจ้าทำได้ดีมาก ข้าภูมิใจในตัวเจ้าจริงๆ” พี่สาวซาตี้ดูข่าวล่าสุดแล้วก็ชมฉัน
“พี่สาวคงไม่คิดจะโทรไปเยาะเย้ย คุณคิมคิมผู้จัดการยัยหลินใช่ไหม?”ฉันถามพี่สาวซาตี้
“ไม่หรอก! เพราะข้าถ่ายคลิปส่งไปให้ยัยซาลาเปาตั้งแต่วันงานแล้ว ฮ่าๆๆ!” พี่สาวซาตี้หัวเราะด้วยความสะใจ
แหม! ดูท่าจะไม่ค่อยแค้นเท่าไหร่เลยนะนี่
และแล้วการแข่งขันรอบแรกก็ประกาศผู้เข้ารอบต่อไป โดยจากผู้เข้าประกวด 50 คนจะเข้ารอบเพียง 25 คน แน่นอนว่าฉันได้ผ่านเข้ารอบ แถมยังมีคะแนนนำมาเป็นที่หนึ่งอีกด้วย เย้!.....
แม้แผนของยัยหลินจะล้มเหลวในวันที่จัดงานพบปะแฟนคลับ แต่ยัยหลินก็ได้ทีม PR. ที่ดีโดยการแก้เกมส์จัดแถลงข่าวให้ดูน่าสงสาร จนโกยคะแนนโหวตได้ไม่น้อยและเข้ารอบเช่นกัน
สำหรับรอบต่อไปจะเป็นการนำเพลงที่ร้องในรอบแรกมาทำดนตรีใหม่ ให้เป็นเพลงแดนซ์ในรูปแบบของผู้เข้าประกวด และผุ้เข้าประกวดต้องเป็นคนคิดท่าเต้นเองด้วย
“พี่สาวซาตี้! หนูเต้นไม่เป็นนน!” ฉันร้องบอกพี่สาวซาตี้เมื่อรู้ว่ารอบต่อไปต้องร้องและเต้น
“ไม่ยากหรอกยัยหนู ของแบบนี้มันฝึกกันได้” พี่สาวซาตี้พูดแบบหน้าตาย
“หนูร้องได้แต่ไม่เคยเต้น จะฝึกได้หรือ?” ฉันถามพี่สาวซาตี้
“ไม่ต้องห่วง ทางค่ายส่งรายชื่อครูฝึกเต้นมาแล้ว และข้าเองก็เลือกครูฝึกเต้นให้แล้ว รับรองรองว่าภายในสามเดือนนี้เจ้าต้องเต้นเป็นแน่นอน” พี่สาวซาตี้พูดพลางส่งกระดาษแผ่นหนึ่งที่ มีชื่อและรายละเอียดของครูสอนเต้นให้ฉัน
“คนนี้เหรอ...จะไหวไหมนี่?” ฉันถอนหายใจเมื่อเห็นชื่อและประวัติของครูสอนเต้นคนนี้
..............................
การแข่งขันรอบนี้จะใช้เวลาประมาณสามเดือนในการฝึกซ้อม จากนั้นฉันจะต้องร้องเพลงใหม่และถ่าย MV รวมถึงออกแสดงเพื่อคะแนนโหวตอีกสามเดือน
เมื่อก่อนฉันใฝ่ฝันอยากเป็นไอดอลมาก แต่พอมาเป็นไอดอลแล้ว ฉันถึงได้รู้ว่าเส้นทางนี้มันไม่ง่ายจริงๆ
การเรียนไปด้วยและทำงานไปด้วยมันเหนื่อยมากๆ แถมเราต้องทำอย่างจริงจังในฐานะมืออาชีพ ทำให้เวลาพักผ่อนแทบจะไม่มีเลยทีเดียว
และวันนี้ครูสอนเต้นของฉันก็จะมาสอนฉันเต้นวันแรก แกเคยเป็นศิลปินดังในก่อน ด้วยน้ำเสียงกวนๆและลีลาการเต้นที่เป็นตำนาน จึงทำให้พี่สาวซาตี้เลือกมาสอนฉัน
และเค้าคนนั้นก็คือ “พี่เต้ ดิหรอก” เจ้าของเพลงดังรุ่นแม่ “สาวบางแค” นั่นเอง
“พี่เต้ ดิหรอก” เป็นศิลปินนักเต้นที่หาตัวจับยากในสมัยก่อน ที่เต้นได้ทุกแนวแม้แต่เพลงทำขวัญนาค พอมาทำอัลบั้มของตัวเองก็คิดท่าเต้นเองจนโด่งดังไปทั่วประเทศ ด้วยท่าเต้นไร้กระดูกในตำนานที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากไส้เดือนถูกขี้เถ้า จนมีศิลปินต่างประเทศคนหนึ่งลงทุนบินมาดูแกแสดงสดที่เมืองไทยและก็อปปี้ไปใช้ ผลก็คือท่าลูบเป้าและท่าเดินถอยหลังฮิตไปทั่วโลก ส่งผลให้ศิลปินต่างประเทศคนนั้นกลายเป็น King of pop ไปเลยทีเดียว
“พี่เต้ ดิหรอก” ในวันนี้แม้จะอายุเยอะแล้ว แต่ยังแต่งตัววัยรุ่นแถมยังใส่แว่นดำ แต่เป็นกันเองดีมาก
“สวัสดีค่ะ.” ฉันและสามสาวตระกูลม.ม้า ที่ขอตามมาเรียนด้วยสวัสดีพี่เต้
“ไหว้พระเถอะจ้ะ” พี่เต้ตอบแบบผู้ใหญ่
“อ้าว! พี่บวชอยู่หรือคะ?” ฉันถามแบบงงๆ
“มุกจร้า แหม! รับมุกด้วยนะนี่!” พี่เต้ ตอบกลับแบบอารมณ์ดี
พี่เต้เล่าให้พวกฉันฟังว่า การเต้นที่ดีต้องเริ่มต้นจากการจับจังหวะเพลงให้ได้ซึ่งนั่นคือมาตรฐานทั่วไป แต่ถ้าจะให้อยู่ในระดับศิลปินต้องออกมาจากอินเนอร์ ว่าแล้วแก็เปิดเพลงๆหนึ่งพร้อมเต้นให้พวกเราดู จนพวกฉันถึงกับอึ้ง
เพราะที่แกเปิด....เป็นบทสวดมนต์ แต่แกก็เต้นได้ แม่จ้าว!...นี่มันหลุดโลกเกินไปมั้ยนี่!
“เอาล่ะ! เมื่อกี้ที่พี่เต้นให้ดูคือตัวอย่าง เข้าใจแล้วนะ” พี่เต้อธิบายหลังเต้นจบ พร้อมนั่งหายใจหอบพลางดมยาดมไปด้วย
พวกฉันรีบพยักหน้าตอบ กลัวแกจะหัวใจวายเพราะต้องเต้นให้ดูอีกรอบ
“ในสามเดือนพี่คงสอนให้เป็นนักเต้นอาชีพไม่ได้ แต่สอนให้เต้นแบบเป็นตัวเองได้ อย่าไปยึดติดกับรูปแบบหรือแนวเพลง มนุษย์เราสามารถเต้นได้หมดเพราะมันคือการปลดปล่อยความเป็นตัวเองออกมา” พี่เต้พยายามลุกขึ้นเต้นต่อ แต่พวกฉันห้ามเอาไว้แล้วให้แกแค่อธิบายก็พอ
“จากนี้ไปทุกเช้า ทุกคนต้องฝึกตามตำรานี้พร้อมเปิดประกอบเพลงอะไรก็ได้ที่พี่จะเลือกไว้ให้” พี่เต้แจกตำราให้พวกฉันคนละเล่ม และพอเปิดดูพวกฉันก็ตกใจ จนต้องอุทานออกมาพร้อมกัน
“ใช่! นี่คือหลักสูตรการเต้นที่ดีที่สุด ทั้งสร้างความแข็งแรง ยืดหยุ่นและจังหวะ” พี่เต้หันมายิ้มด้วยสายตาเจ้าเล่ห์
ตั้งแต่นั้น ทุกวันในช่วงเช้าเราก็จะไปรำไท่เก๊กกับเหล่าอาม่าในสวนลุม และเรียนเต้นกับพี่เต้ตั้งแต่ช่วงสายจนถึงเย็น ซึ่งช่วงแรกๆ เราจำท่ากันไม่ได้ก็เลยต้องคอยมองเหล่าอาม่าอยู่เสมอและทำตาม จนพวกเราเป็นขวัญใจของเหล่าอาม่าไปซะแล้ว
การฝึกเป็นไปอย่างเข้มข้น จนกระทั่งเข้าเดือนสุดท้าย.........
“ปอ! หม่อน! ไหม!... รับนะ” ยัยมินท์โยนขวดน้ำให้หลังจากที่พวกเรารำไท่เก๊กกับพวกอาม่าจบ ฉันตอบโต้ด้วยการกระโดดตีลังกาเกลียวสามรอบ เหมือนจอมยุทธ์หญิงในหนังจีน เพื่อเอื้อมรับขวดน้ำ
ยัยหม่อนกับยัยไหมก็ม้วนตัวสามตลบเช่นกัน ขณะที่ยัยมินท์ตีลังกาสามรอบมายืนอยู่ข้างหน้าพวกเราสามคน
ใช่! ตอนนี้พวกฉันกลายเป็นจอมยุทธ์หญิงรุ่นใหม่ไปซะแล้ว
“เก่งมาก!...พวกเธอผ่านคอร์สเบื้องต้นแล้ว” พี่เต้ปรบมือ พร้อมเดินออกมาจากพี่สาวซาตี้จากหลังพุ่มไม้
“วันนี้พวกเราจะทกสอบผลของการฝึกกัน” พี่เต้พูดพลางยกนิ้วโป้งให้
หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าจากการรำไท่เก๊ก ตอนนี้พวกเราก็อยู่ในห้องสตูดิโอซ้อมเต้นกับพี่เต้และพี่สาวซาตี้
“เอาล่ะ! เราจะเปิดเพลงแล้วทุกคนเต้นตามพี่ให้ทัน เริ่มได้!” พี่เต้ให้สัญญาณ จากนั้นพี่สาวซาตี้ก็เปิดเพลง
เมื่อพี่เต้ขยับตามจังหวะเพลง น่าแปลกที่พี่เราเต้นตามได้ตั้งแต่เริ่ม นั่นคงเป็นผลจากที่เราเต้นตามพวกอาม่าบ่อยๆในสวนลุม และพอพี่เต้เร่งจังหวะพวกเราก็สามารถเต้นทันราวกับเป็นทีมเดียวกัน แม้แต่ท่าจบที่พี่เต้ ตีลังกาห้าตลบ พวกเราก็ทำตามได้อย่างไม่ผิดเพี้ยน
“บราโว่! ทุกคนเก่งมาก!” พี่เต้พูดขณะนอนแผ่เป็นลมอยู่บนพื้น สักพักพอแกหายดี ก็เริ่มบทเรียนสุดท้าย
“สำหรับบทเรียนสุดท้ายที่พี่จะสอนก็คือการเต้นในแบบของตัวเอง” พี่เต้ผู้จบก็เอาผ้ามาผูกตาพวกฉัน
“พี่จะเปิดเพลง แล้วให้น้องๆเคลื่อนไหวในแบบที่ตัวเองตีความและอยากจะสื่อมันออกมา บทเรียนนี้สอนกันยาก แต่พี่เชื่อว่าพวกเราทำได้ เริ่ม!” พี่เต้อธิบายพร้อมให้กำลังใจพวกฉัน จากนั้นก็เปิดเพลง
บทเพลงเริ่มจากท่อนช้าที่เศร้าสร้อย ฉันก็เคลื่อนไหวตามที่รู้สึก อา!...ทำไมความรักถึงได้โหดร้ายกันนักนะ
ฉันปล่อยตัวตามความรู้สึกและเคลื่อนไหวไปตามจังหวะ จนถึงท่อนที่เร็ว ฉันเริ่มรู้สึกอึดอัดและอยากจะปลดปล่อยตัวเอง
ใช่!...ตอนนี้ฉันกำลังโบยบิน ในเมื่อความรักเหมือนกรงขังที่ทรมาน ฉันจึงอยากเป็นอิสระ
ฉันเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเพลงจบ
“เก่งมาก!” พี่เต้และพี่สาวซาตี้ปรบมือให้พวกฉัน พร้อมให้ฉันดูคลิปที่ถ่ายไว้ตอนเต้น ไม่น่าเชื่อ นี่ฉันหรือ! ฉันเป็นคนในคลิปจริงๆเหรอนี่!
ในคลิปพวกฉันเต้นกันอย่างมืออาชีพ เราเต้นไม่เหมือนกัน แต่ท่าทางและท่วงท่าในการเต้นแตกต่างจากตอนแรกอย่างสิ้นเชิง
หลังจบการซ้อม พวกเราขอบคุณพี่เต้หลายต่อหลายครั้ง ที่สามารถทำให้พวกเราเต้นได้ภายในสามเดือน เป็นการสอนที่ทำให้พวกเรารู้ว่า ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้หากตั้งใจจริง
เวลาผ่านไปอีกไม่นาน ก็ถึงวันเปิดเทอมอีกครั้ง
ฉันก็เริ่มมาเรียนตามปกติ แน่นอนว่าช่วงเช้าก็ยังเต็มไปด้วยกลุ่มแฟนคลับที่มารอหน้าโรงเรียน แต่พี่สาวซาตี้ก็จัดการให้เรียบร้อย ในขณะที่ฉันกำลังจะเดินขึ้นตึกนั้น เสียงเด็กผู้ชายคุ้นหูคนหนึ่งก็ดังขึ้น
“ปอ! เธอเรียนอยู่ที่นี่จริงๆด้วย ดีใจจริงๆที่เจอเธอ ขอลายเซ็นหน่อยสิ”
ฉันหันไปดูตามเสียง ก็เห็นเด็กชายแปลกหน้าคนหนึ่ง ตัวไม่สูงมาก ผิวสองสี ใส่แว่นหน้าเตอะ ท่าทางไม่มีพิษมีภัยวิ่งมาทักทาย พร้อมยื่นรูปให้
“เรารู้จักกันหรือคะ?” ฉันถามเด็กผู้ชายที่วิ่งมา
“เราต้นกล้าไง! ที่เคยอยู่โรงเรียนเดียวกันตอน ม.ต้น เราย้ายมาเรียนที่นี่ ช่วยเซ็นในรูปให้หน่อยนะ” เด็กผู้ชายที่ชื่อต้นกล้าอธิบาย พร้อมยื่นรูปถ่ายให้ฉันเซ็นต์ลายเซ็นต์อีกที
ฉันมองรูปในมือของเขา แล้วก็หยิบมาดูใกล้ๆ แล้วก็ตกใจจนต้องอุทาน เพราะมันเป็นรูปหมู่ตอนจบ ม.3 จริงๆ
แต่เป็นรูปตอนที่ฉัน....ยังเป็นร่างเดิมน่ะสิ!