สวัสดี...กลิ่นฤดูแห่งความรัก
ตอนที่ 36 มินิคอนเสิร์ตครั้งแรก
และแล้วก็เปิดเทอมใหม่ ตอนนี้พวกฉันขั้นเป็นเด็ก ม.5 แล้ว ส่วนพี่เจมส์และพี่แม็กซ์ก็เลื่อนเป็นเด็ก ม.6 ส่วนกำหนดการของมินิคอนเสิร์ตครั้งแรกนี้ก็คืออีกสองอาทิตย์
 
พี่เจมส์และพี่แม็กซ์หลังจากรู้เรื่องแผนจัดมินิคอนเสิร์ตของฉัน ก็ขอร่วมช่วยด้วย โดยพี่เจมส์กับวงดนตรีของโรงเรียนจะไปช่วยเล่นดนตรีให้ ส่วนพี่แมกซ์และเพื่อนๆ จะไปช่วยเป็น Staff ในงาน
 
งานมินิคอนเสิร์ตของยัยหลิน จัดก่อนฉันหนึ่งวัน ซึ่งอาจจะเข็ดจากงานครั้งที่แล้ว จึงไม่มาจัดชนกันและใกล้กันอีก โดยยัยหลินจัดที่ร้านอาหารหรูบนดาดฟ้าของโรงแรมห้าดาวแห่งหนึ่ง ทุ่มใช้เงินส่วนตัวลงทุนแสงสีเสียงและศิลปินรับเชิญ โดยมีการทำกิจกรรมกับแฟนคลับก่อนวันงานเพื่อเลือกแฟนคลับผู้โชคดีเพียงสามร้อยคนเท่านั้น
 
โดยผู้ที่ได้มามินิคอนเสิร์ตนอกจากจะได้ดูการแสดงแล้ว ยังฟรีทั้งอาหารเครื่องดื่ม และมีการมอบของรางวัลในงานด้วย ทำให้มีผู้คนโหวตคะแนนให้ยัยหลินกันมากมาย
 
นี่ถ้าแจกเงินสดในงานด้วย! ยัยหลินก็แทบจะเหมือนนักการเมืองซื้อเสียงดีๆนี่เอง! ไม่มีเงินก็แล้วไป!
 
หลังจากงานมินิคอนเสิร์ตจบลง ยัยหลินก็ยังลงข่าวประชาสัมพันธ์ต่ออีก ทำให้ตอนนี้คะแนนของยัยหลินตีตื้นขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 11 ดูจากระยะเวลาแล้ว ก็น่าจะเข้ารอบได้สบาย เพราะยังเหลือเวลาจัดได้อีกหลายครั้ง อีกทั้งคนอื่นๆ ก็จัดมินิคอนเสิร์ตกันแบบธรรมดาๆ
 
และฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น!
 
“ปอ! ยัยหลินโกยคะแนนไปอื้อเลย เราจัดธรรมดาๆแบบนี้ จะไม่เป็นไรจริงๆเหรอ?” ยัยมินท์สาวจอมพลังถามฉันขณะที่ช่วยขนของขึ้นรถ
“ไม่เป็นไรหรอก ฉันคำนวนอัตราคะแนนแล้ว ต่อให้ปอ! นอนอยู่บ้านเฉยๆก็ยังเข้ารอบ” ยัยหม่อนสาวเนิร์ดเสริมข้อมูล
 
“แต่ฉันว่าปอจัดแบบนี้ก็ดีนะ ฉันยังอยากจะมาเลย แถมกินฟรีเหมือนกัน” ยัยไหมสาวจอมกินเสริม ขณะถือถุงขนมขึ้นรถ
 
“ฉันก็ห่วงเหมือนกัน แต่ก็คิดว่าเราทำดีที่สุดแล้ว เอาล่ะ! ของพร้อมแล้วพวกเราเดินทางกันเถอะ!” ฉันบอกสามสาวและให้ทุกคนขึ้นรถ จากนั้นพี่สาวซาตี้ที่วันนี้เป็นคนขับรถให้ ก็สตาร์ทรถแล้วพาพวกเรามาที่งานทันที
 
สถานที่จัดมินิคอนเสิร์ตครั้งแรกของฉันก็คือ โรงเรียนบ้านเด็กรามอินทรา (บ้านเด็กตาบอดผู้พิการซ้ำซ้อน)* พวกคุณอาจจะไม่รู้จักสถานที่แห่งนี้ ฉันขอเล่าให้ฟังแล้วกันนะว่าทำไมถึงอยากจัดมินิคอนเสิร์ตที่นี่
 
การเป็นผู้พิการทางสายตาก็ถือว่าโชคร้ายแล้ว แต่เด็กๆที่อยู่ในโรงเรียนบ้านเด็กรามอินทราเหล่านี้ เป็นเด็กตาบอดผู้พิการซ้ำซ้อน หมายถึงนอกจากตาบอดแล้วยังพิการทางด้านอื่นร่วมด้วย เช่นตาบอดและหูหนวก หรือตาบอดและมีความบกพร่องทางสมอง ทำให้สถานศึกษาส่วนมากปฏิเสธจะรับเด็กเหล่านี้เข้าศึกษา จึงมีการจัดตั้งโรงเรียนแห่งนี้เพื่อเด็กๆเหล่านี้จะได้มีที่พึ่งพิงและทีโอกาสได้รับการศึกษาเหมือนเด็กทั่วๆไป
 
ในตอนแรกทุกคนก็คัดค้านฉันว่าไม่ควรจัดที่นี่ เพราะเป็นเรื่องของการประกวดไม่ใช่การกุศล แต่ฉันก็ยกเหตุผลว่า ตอนนี้แหละคือโอกาสที่จะได้ช่วยน้องๆเหล่านี้ เพราะหากวันหนึ่งฉันไม่ได้มีคนติดตามหรือเป็นคนมีชื่อเสียง ฉันคงไม่สามารถเป็นกระบอกเสียงให้เด็กๆเหล่านี้ได้ ทุกคนจึงเห็นด้วยและช่วยกันอย่างเต็มที่
 
พวกเราจัดกันแบบง่ายๆ พวกพี่เจมส์ตั้งเครื่องดนตรีเสร็จแล้ว ยัยมินท์กับยัยไหมก็ช่วยกันเป็นพิธีกร ในงานนี้ฉันเชิญแฟนคลับทุกคนมาร่วมงานกัน โดยบอกว่ายินดีต้อนรับทุกคน และหากใครอยากบริจาคหรือสนับสนุนเป็นของใช้สำหรับน้องๆพวกเราก็ยินดี ซึ่งพวกเราขอขอบคุณด้วยเสียงเพลง
 
งานเริ่มไปอย่างสนุกสนาน เด็กๆ ทุกคนที่นี่ก็คือเด็กธรรมดาคนหนึ่ง แม้จะมีความบกพร่องทางการมองเห็นพ่วงกับการบกพร่องด้านอื่นๆ แต่ทุกคนก็สนุกสนานเหมือนเด็กทั่วไป พวกเขายิ้ม หัวเราะและมีความสุขได้เช่นกัน
 
แฟนคลับของฉันทุกคนก็น่ารักมาก ทุกคนเต็มใจมาช่วยงานกันมากกว่าจะมาดูมินิคอนเสิร์ตเสียอีก
 
“พี่ปอร์เช่ใช่ไหมครับ?” เด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณห้าขวบ เดินมาทักฉันพร้อมแฟนคลับคนหนึ่งเป็นคนพาเดินมา
 
“น้องกายฟังเพลงของน้องปอร์เช่แล้ว อยากเดินมาคุยด้วยน่ะค่ะ” พี่ผู้หญิงที่เป็นแฟนคลับฉันคนหนึ่งพูดขึ้น
 
“ขอบคุณค่ะพี่ เป็นยังไงบ้างคะน้องกาย สนุกไหม?” ฉันถามเด็กชายตัวน้อย
 
“สนุกครับ พี่ปอร์เช่ร้องเพลงเพราะมาก ผมเลยอยากขอจับหน้าพี่หน่อย” น้องกายขอจับหน้าฉัน ซึ่งเป็นเรื่องปกติของผู้พิการทางสายตา ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ การจะอยากรู้ว่าคนที่คุยด้วยหน้าตาเป็นอย่างไร พวกเขาต้องอาศัยการสัมผัสและจินตนาการ
 
“ได้สิคะ จับได้เลยค่ะ” ฉันยินดี และหยิบมือน้องกายมาสัมผัสหน้าของฉัน
 
เด็กน้อยค่อยๆเลื่อนมือแตะหน้าฉันเบาๆ สักพักเขาก็ยิ้มและพูดว่า
“พี่ปอร์เช่สวยมาก ตัวก็หอมด้วย ขอบคุณมากนะครับที่มาร้องเพลงให้พวกเราฟัง ผมจะรอฟังเพลงใหม่ของพี่นะครับ” เด็กน้อยยิ้มหวานและโบกมือลาฉัน ก่อนเดินเข้าไปเล่นกันเพื่อนต่อ
 
ฉันมองตามหลังของเด็กน้อย ในใจก็พลางคิดว่า ถ้าฉันเป็นน้องกาย วันนี้ฉันจะยังยิ้มแบบมีความสุขได้ไหมนะ
 
พูดตามตรงว่า หากไม่นับเรื่องการได้ทำพันธสัญญากับพี่สาวซาตี้ แม้ว่าฉันจะเตี้ย ล่ำ ดำ ถึก หน้าสิวและใส่แว่นหนาเตอะ ฉันก็ถือว่าโชคดีกว่าเด็กเหล่านี้มากๆ
 
จนฉันก็คิดว่า คนส่วนใหญ่มักจะเปรียบตัวเรากับคนที่ดูดีกว่าทั้งนั้น จึงทำให้เราเศร้าและไม่พอใจกับสิ่งที่เป็น ทั้งๆที่มีคนอีกมากมายที่อยากจะเป็นในสิ่งที่เราเป็น
 
ช่วงท้ายพวกเราก็ร้องเพลงร่วมกัน ทั้งฉัน แฟนคลับและเด็กๆ หลังจบงานนอกจากสิ่งของที่แฟนคลับบริจาคแล้ว ยังมีแฟนคลับที่ดู Live สด ของฉันช่วยกันบริจาคมาอีกมากมาย สร้างความดีใจให้กับพวกเราที่เตรียมงานกันมาอย่างเหน็ดเหนื่อย
 
ทุกคนต่างอิ่มใจกับการเป็นผู้ให้ในครั้งนี้
 
ในช่วงที่เรากำลังเก็บของกันนั้น พี่เจมส์ก็เดินมานั่งพักข้างๆฉัน ตรงม้านั่ง
 
“เมื่อกี้มีน้องตัวเล็กๆไปคุยด้วยนี้ พี่เห็นนะ” พี่เจมส์แซวฉัน
 
“ใช่ๆ พี่เจมส์เห็นทันด้วย น้องมาขอจับหน้าแล้วบอกว่าหนูสวยและตัวก็หอม สงสัยจังว่าถ้าน้องเห็นตัวจริงอาจจะตกใจ ฮ่าๆๆ” ฉันพูดหยอกกลับพี่เจมส์
 
“แต่ปอร์เช่ก็ตัวหอมจริงๆนะ ขนาดพี่อยู่ตรงนี้ยังได้กลิ่นเลย ใช้น้ำหอมอะไรหรือครับ?” พี่เจมส์ถามต่อ
 
ฉันนั่งนิ่งและคิดในใจสักพัก ก่อนล้วงไปในกระเป๋าเป้ แล้วก็ส่งของบางอย่างให้พี่เจมส์
 
“หนูให้พี่เจมส์ กลับไปแล้วอย่าลืมใช้ด้วยนะ นี่แหละน้ำหอมที่หนูใช้” ฉันส่งของเสร็จก็เดินหนีมาที่รถ ด้วยความเขิน
 
พี่เจมส์มองตามหลังของฉัน ก่อนมองกล่องกระดาษในมือ
 
“สบู่เบนเนทปาปาย่า! นี่น่ะหรือ...เคล็ดลับความหอมของน้องปอร์เช่!” พี่เจมส์มองของในมือแล้วก็ยิ้มคนเดียว
 
ไม่ต้องตกใจนะคะพี่เจมส์!เพราะฉันไม่เคยใช้น้ำหอมเลย มีแต่ใช้สบู่เบนเนทปาปาย่าเพียงอย่างเดียว ก็ของเค้าดีจนหอมฟุ้งติดตัวไปทั้งวัน  อิอิ!
 
.............................................
*โรงเรียนบ้านเด็กรามอินทรา (บ้านเด็กตาบอดผู้พิการซ้ำซ้อน) ตั้งอยู่ที่ 21/13 ซอย รามอินทรา 34แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพฯ
ท่านสามารถเป็นอีกแรงหนึ่งที่จะสร้างโอกาสทางการศึกษา  และพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กตาบอดผู้พิการซ้ำซ้อนเหล่านี้ได้ โดย บริจาคทุนทรัพย์ บริจาคสิ่งของ เจ้าภาพเลี้ยงอาหาร แวะเยี่ยมให้กำลังใจน้องๆ โดยดูรายละเอียดได้ที่ https://cfbt.or.th/bkk
 
ตอนต่อไป
ตอนที่ 37 ควันที่ไม่ได้มาจากไฟ