สวัสดี...กลิ่นฤดูแห่งความรัก
ตอนที่ 39 การบูลลี่และคุกคาม
“นี่มันอะไรกันนี่!”
 
ฉันดูกระดาษในมือที่เหลือก็เขียนด้วยถ้อยคำที่ไม่ต่างกัน
 
“หมู่บ้านนี้ไม่ต้อนรับ! พวกขี้โกหก!”
“บ้านนี้ชอบหลอกเงินคนอื่น!”
“ลูกสาวบ้านนี้ ชอบแย่งผัวชาวบ้าน”
 
ฉันยืนนิ่งอึ้งกำลังใช้สมองคิดอยู่ว่านี่มันเรื่องอะไรและใครเป็นคนทำ แต่ที่รู้ก็คือคนที่ทำตั้งใจโจมตีฉันและตอนนี้กำลังคุกคามคนในครอบครัวของฉัน
 
“อ้าว! ปอ ตื่นแล้วหรือลูก ไปอาบน้ำแล้วเดี๋ยวมากินข้าวเช้ากัน” แม่ตะโกนบอกฉัน เมื่อเดินออกมาแล้วเห็นฉันยืนอยู่
 
“แม่! ใครเอากระดาษพวกนี้มาติดหน้าบ้านเรา” ฉันยื่นกระดาษให้แม่ดู
 
“ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องใส่ใจ คงเป็นเด็กมือบอนแถวนี้แหละ”  แม่พูดตอบพร้อมมองกระดาษเหล่านั้นแบบไม่ใส่ใจ
 
“แล้วกระดาษพวกนี้ ไม่ได้มาติดวันนี้วันแรกใช่ไหม?”ฉันถามแม่ ตอนนี้น้ำตาของฉันเริ่มไหลออกมาจากหางตา
 
“ปอ หนูไม่ต้องคิดมาก มันไม่มีอะไรหรอก แม่กับยายก็ไม่เคยคิดมากอยู่แล้ว ไปอาบน้ำเถอะลูก” แม่ดึงฉันมากอด และลูบหัวฉันเบาๆ
 
“แม่...ที่ยายป่วยก็เพราะเรื่องนี้ด้วยใช่ไหม ฮือๆ...” ฉันถามแม่ด้วน้ำเสียงสั่นเครือแล้วร้องไห้หนักขึ้น
 
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหนูหรอก หนูไม่ได้ทำอะไรผิดและแม่กับยายก็เชื่อในตัวหนู โตแล้วไม่ร้องไห้นะลูก” แม่กอดฉันแน่นขึ้นแล้วปลอบฉันเหมือนทุกกครั้งที่ฉันมีปัญหา หลังพูดคุยกันไม่นานฉันก็มาอาบน้ำแล้วคุยกับพี่สาวซาตี้เรื่องนี้
 
 “แจ้งตำรวจ!”  พี่สาวซาตี้พูดขึ้น เมื่อฉันเอากระดาษเหล่านี้ให้ดู
 
“แล้วตำรวจจะช่วยอะไรได้ พี่สาวซาตี้” ฉันถามต่อ เพราะมองไม่ออกว่ากฎหมายจะดำเนินการต่ออย่างไร
 
“ยัยหนู! นี่มันไม่ใช่การบูลลี่ธรรมดาแล้วแต่มันคือการคุกคาม เจ้าไม่ควรปล่อยให้เป็นแบบนี้และคนพวกนี้ควรต้องได้รับบทเรียน” พี่สาวซาตี้พูดขึ้นพร้อมทำหน้าตาจริงจัง
 
“แล้วหนูควรพูดอะไรกับยายไหม?” ฉันถามพี่สาวซาตี้
 
“ให้ยายของเจ้าพักผ่อนไปก่อน เดี๋ยวเราไปแจ้งความกันก่อน แล้วค่อยมาคุยเรื่องนี้กับคนที่บ้านของเจ้า” พี่สาวซาตี้พูดต่อ
 
จากนั้นไม่นานฉันกับพี่สาวซาตี้ก็ไปแจ้งความ ทางตำรวจก็ลงบันทึกประจำวันแล้วสัญญาว่าจะตามสืบคนที่ติดป้ายคุกคามนี้
 
จนกระทั่งถึงเวลาช่วงกลางวันฉันกับพี่สาวซาตี้ก็กลับมาและนั่งคุยกับแม่และยาย พี่สาวซาตี้บอกเรื่องที่เราไปแจ้งความแล้วและจะให้ทางค่ายช่วยส่งคนมาดูแลให้ ขอให้แม่และยายไม่ต้องห่วง ทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เอาแต่บอกว่าไม่เป็นไรเรื่องแค่นี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่กับรับปากว่าหากมีการคุกคามอื่นๆจะโทรบอกทางพี่สาวซาตี้ให้ช่วยจัดการให้
 
 
“แม่! ยาย! หนูขอโทษ...” ฉันขอโทษแม่และยายเพราะเป็นคนนำเรื่องวุ่นวายมาให้พวกท่าน
 
“ปอ เอ๊ย! ไม่ต้องขอโทษหรอก ยายก็แม่ไม่ได้โทษหนูและหนูก็ไม่ได้ทำอะไรผิด คนพวกนั้นต่างหากที่ควรจะมาขอโทษหนู” ยายปลอบฉัน
 
ท้ายสุดเราก็เลิกคุยเรื่องนี้และพูดคุยเรื่องอื่นแทน บางทีฉันก็ถือว่าฉันเป็นคนที่โชคดี ที่มีครอบครัวเข้าใจและพร้อมให้กำลังใจอยู่เสมอ ไม่ว่าปัญหาจะเล็กหรือใหญ่แค่ไหนทั้งสองคนก็เป็นกำลังใจให้ฉันมาตลอด
 
แม่และยายของฉันเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็งทั้งคู่ ทั้งสองคนผ่านเรื่องราวใหญ่ๆมามากมายโดยฉพาะเรื่องที่คนรักจากไปก่อนเวลาอันควร
 
พ่อของฉันเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจ หลังจากตาเสียไปไม่กี่ปี วันที่พ่อเสียฉันจำได้ว่าแม่ไม่มีน้ำตาสักหยด จนคนที่ไปร่วมงานต่างซุบซิบนินทาว่าสงสัยแม่จะไม่ได้รักพ่อ
 
ฉันเมื่อยังเด็กก็เคยถามแม่ว่า
 
“ทำไม!..แม่ไม่รักพ่อเหรอ ถึงไม่ร้องไห้?”
 
แม่ยิ้มแล้วตอบกลับฉันมาว่า
 
“รักสิ พ่อของปอเป็นผู้ชายที่แม่รักมากที่สุด พ่อของปอเคยบอกแม่ว่า ถ้าพ่อเป็นอะไรไปก็ไม่อยากให้แม่ร้องไห้ พ่อไม่อยากเห็นน้ำตาแม่เพราะเค้าคงจะเจ็บปวดมากที่ทำให้แม่เสียใจ แม่ก็เลยต้องไม่ร้องเพราะไม่อยากให้พ่อต้องรู้สึกเจ็บปวด แม้พ่อจะจากไปแล้ว” 
 
“แต่เรื่องบางอย่างเราก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ใครรู้ เพราะเรารู้อยู่แก่ใจว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ จริงไหม?” วันนั้นแม่ฝืนยิ้มแล้วทำท่าเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็ไม่ร้องออกมา
 
เพราะมีแม่เป็นตัวอย่างของความเข้มแข็ง ทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์นั้น ก็ทำให้ฉันอดทนต่อการบูลลี่มาได้ตั้งแต่ตอนเด็กๆ และไม่เคยร้องไห้อีกเลยจนกระทั่งวันนี้
 
คืนนั้นฉันออกมานั่งที่หน้าบ้าน แล้วมองไปที่ต้นอาฮวนที่เอามาปลูกใหม่ ตัวต้นโตขึ้นมากจากเมล็ดที่เอามาปลูก แต่ก็มีความสูงอยู่แค่เอว ภายในสามปีนี้ไม่รู้ว่าจะออกดอกให้ได้เห็นหรือเปล่า
 
สงสัยภารกิจดอกฮาฮวนของฉันจะไม่สำเร็จแน่ๆ ดูท่าอาจต้องเปลี่ยนแผนใหม่
 
ฉันนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย และไม่รู้ว่าจะเจอปัญหาอะไรเพิ่มอีกบ้าง สมัยก่อนตอนอ่านข่าวบันเทิงเวลามีข่าวด้านลบของคนดัง ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ชอบอ่านแล้วก็เชื่อข่าวพวกนั้นโดยที่ไม่เคยคิดอะไรเช่นกัน
 
ตอนนี้กรรมก็คงตามทันแล้ว ฉันถึงได้ถูกกระทำแบบนั้นบ้าง
 
ไม่รู้ว่าหากฉันทำภารกิจไม่สำเร็จ ชีวิตของฉันจะไปเจอกับอะไรอีกบ้าง
 
มีคนเคยบอกว่าคนเรามักจะชอบคิดกังวลกับสิ่งที่ยังมาไม่ถึง จนไม่ยอมทำในสิ่งที่ควรทำตอนปัจจุบัน และในปัจจุบันที่ทำได้ตอนนี้ก็จะกลายเป็นอดีตที่กลับไปแก้ไม่ได้
จนคนๆนั้นต้องอนาคตพัง...เพราะจมปลักกับการกังวลของอนาคตมากเกินไป
 
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉันก็เลิกฟุ้งซ่าน  แล้วเริ่มอยากแต่งเพลงใหม่ที่จะใช้ในรอบสุดท้าย โดยใช้ความรู้สึกตอนนี้แต่งมันออกมา
 
ขณะที่ฉันกำลังนั่งแต่งเพลง อีกสถานที่หนึ่งก็กำลังมีคนพูดถึงฉัน
 
........................
 
“ปอเทือง! นี่แค่เริ่มต้น ต่อจากนี้ไปไม่เฉพาะแค่ตัวเธอ แต่รอบข้างเธอทั้งหมด ก็จะได้รับมันไปด้วย ฮ่าๆๆ”
 
นายต้นกล้าที่หัวเราะราวกับคนโรคจิต ขณะที่กำลังมองดูรูปในมือ ที่เป็นรูปของเพื่อนสาวทั้งสามคนรวมและก็รูปของ.......
 
“พี่เจมส์!”
 
............................
ตอนต่อไป
ตอนที่ 40 ยิ่งใกล้ยิ่งห่าง