“ไม่นะ! กรี๊ดดดด!” ฉันกรีดร้องเสียงดังเมื่อเห็นว่าตอนนี้ฉันกลับไปอยู่ในร่างเดิม แล้วก็เริ่มร้องไห้
“ไม่!...ทำไม!...ทำไมฉันถึงกลับมาอยู่ร่างเดิมได้!..ฮือๆ” เสียงร้องไห้ของฉันดังขึ้นเรื่อยๆ
“โห! บ้านผีสิงที่นี่ เสียงร้องไห้โคตรโหยหวนเลย ที่รักเรารีบเดินกันดีกว่านะ”ชายหนุ่มคนหนึ่งที่เดินอยู่ในบ้านผีสิงพูดขึ้นหลังจากได้ยินเสียงร้องไห้ของฉัน จากนั้นก็จับมือหญิงสาวที่มาด้วยกันแล้วรีบเดินออกห่างจากห้องที่ฉันอยู่
“ฉันจะทำอย่างไรดี! พี่สาวซาตี้! ใช่แล้วฉันควรโทรหาพี่สาวซาตี้!” ฉันหาโทรศัพท์ในกระเป๋าเป้ แล้วก็โทรหาพี่สาวซาตี้ทันที
“ฮัลโลพี่สาวซาตี้! ช่วยด้วย! หนู...........” ฉันเล่าเรื่องทั้งหมดให้พี่สาวซาตี้ฟัง ไม่นานพี่สาวซาตี้ก็กลายเป็นควันสีดำแล้วปรากฏตัวขึ้นภายในห้องนั้น
“ยัยหนู! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง นี่มันวงเวทย์ต้องห้ามนี่!” พี่สาวซาตี้ถามฉันพร้อมตกใจกับภาพวงแหวนที่เห็น
“พี่สาวซาตี้มันคืออะไร?” ฉันสงสัย
“เรื่องมันยาว เดี๋ยวข้าจะอธิบายทีหลัง แต่ตอนนี้พวกเราออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ” พี่สาวซาตี้เอาเสื้อมาคลุมตัวฉันแล้วรับพาฉันออกมาทันที
ไม่นานหลังจากฉันไป พี่เจมส์ก็ปรากฏตัวขึ้นที่ห้องแห่งนั้น
“ที่นี่ก็ไม่มี น้องปอร์เช่วิ่งไปไหนนะ โทรไปก็ไม่รับ งั้นเดี๋ยวลองวนหาอีกรอบถ้าไม่เจอคงต้องไปรอที่ประตูทางออกของบ้านผีสิงแล้ว”
เมื่อถึงที่ห้องหลังจากที่ฉันอารมณ์เย็นลงและเปลี่ยนชุดแล้ว พี่สาวซาตี้ก็อธิบายเรื่องวงเวทย์ต้องห้าม
“วงเวทย์ต้องห้าม เป็นเวทย์มนต์ชนิดหนึ่งที่สามารถล้างผลของพันธสัญญาได้ เพียงแต่ต้องใช้พลังและอายุขัยของผู้ที่ทำหลายเท่า รวมถึงยังมีเงื่อนไขอีกหลายอย่างจึงจะสำเร็จ มันมีแต่ผลเสียสำหรับผู้ที่ทำ เพราะมีสิทธิ์มากที่ดวงวิญญาณจะดับสูญหากมีพลังไม่พอ พวกเราจึงเรียกว่าวงเวทย์ต้องห้าม ดูท่าแล้วซาตานน่าจะลงทุนไปมากเพื่อจะแก้แค้นเจ้ากับข้า”
“แล้วพันธสัญญามันถูกยกเลิกง่ายขนาดนั้นเลยหรือ? แล้วหนูจะมีโอกาสกลับไปร่างใหม่ไหม?” ฉันตั้งคำถามกับพี่สาวซาตี้
“มันไม่ได้ยกเลิกง่ายๆหรอก เพียงแต่ยกเลิกได้แค่ชั่วคราวไม่เกินหนึ่งปี ส่วนเรื่องที่จะมีโอกาสกลับไปร่างใหม่ก่อนหนึ่งปีได้หรือไม่ วงเวทย์ต้องห้ามนี้เป็นมนต์โบราณที่มีคนรู้รายละเอียดน้อย ข้าคงต้องกลับไปที่เผ่าพันธุ์วิญญาณแล้วถามผู้อาวุโสดู เพื่อหาทางแก้ไขก่อน” พี่สาวซาตี้อธิบาย
“แล้วหนูจะทำยังไง เวลาตั้งหนึ่งปี ทั้งต้องไปโรงเรียน งานประกวดไอดอล พันธสัญญาเดิมแล้วยังที่บ้านอีก ฮือๆๆ!” ฉันคิดถึงหลายอย่างที่ต้องทำ
“ทุกอย่างมีทางแก้ไขได้ แม้ข้าจะไม่มีความรู้เรื่องวงเวทย์ต้องห้าม แต่ถ้าซาตานใช้ได้ก็น่าจะมีคนที่รู้อยู่” พี่สาวซาตี้เข้ามาปลอบฉัน
“แล้วทำไมซาตานถึงต้องมาทำแบบนี้ตอนที่อยู่ในบ้านผีสิงด้วย หนูไม่เข้าใจ?”ฉันถามพี่สาวซาตี้อีกครั้ง
“วงเวทย์นี้จะทำสำเร็จได้ ก็ต่อเมื่อผู้ทำพันธสัญญาอยู่ในช่วงที่จิตใจอ่อนแอมากที่สุดถึงจะสำเร็จ ซาตานอาจจะวางแผนไว้แล้ว ถึงได้ดักรอทำพิธีอยู่ที่นั่น”
“พี่สาวซาตี้แล้วหนูควรทำอย่างไรต่อไป?” ฉันถามพี่สาวซาตี้
“ช่วงนี้ยังเป็นช่วงปิดเทอม เจ้าก็อยู่ที่ห้องนี้ไปก่อนและอย่าพยายามออกไปไหน เผื่อซาตานยังมีแผนอื่น ภายในห้องนี้ข้าได้วางเขตอาคมไว้แล้วรับรองว่าซาตานและคนอื่นไม่สามารถเข้ามาได้ รอข้ากลับมาก่อนพวกเราค่อยวางแผนต่อนะ” พี่สาวซาตี้ใช้มือลูบหัวปลอบฉัน ด้วยสายตาที่ห่วงใย
“ข้าจะเดินทางกลับไปที่เผ่าก่อน แล้วจะรีบกลับมา ช่วงนี้ดูแลตัวเองก่อนนะยัยหนู ไปล่ะนะ” พี่สาวซาตี้พูดกับฉัน ก่อนจะยืนขึ้นแล้วกลายเป็นควันสีดำที่ค่อยๆหายไป
ฉันดูร่างเก่าของตัวเองในกระจก ที่เป็นเด็กผู้หญิงอ้วน ดำ เตี้ย สิวเต็มหน้าแถมยังใส่แว่นหนาเตอะ และก็ถอนหายใจ อย่างน้อยฉันก็แค่กลับสู่ความจริงเร็วขึ้น เพราะหากทำภารกิจไม่สำเร็จฉันก็ต้องกลับไปอยู่ในร่างนี้อยู่ดี
นั่งคิดเรื่องราวมากมายที่ผ่านมา ฉันก็หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูสายที่โทรมาแล้วไม่ได้รับจากพี่เจมส์เกือบร้อยสาย
ฉันนั่งนิ่งสักพักแล้วก็สูดลมหายใจเข้า ก่อนตัดสินใจพิมพ์ข้อความกลับไปว่า
“หนูถึงบ้านแล้วนะคะ ต้องขอโทษที่รีบออกมาแล้วไม่ได้บอกเพราะมีธุระด่วน พี่เจมส์ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ ช่วงนี้หนูมีปัญหาใหญ่ที่กังวลและต้องจัดการ เราหยุดการติดต่อกันสักพักนะคะ ช่วงนี้หนูไม่อยากเจอใคร”
ฉันส่งข้อความไปให้พี่เจมส์ ขณะที่มองดูโทรศัพท์มือถือในมือ น้ำใสๆหยดเล็กๆก็หยดใส่โทรศัทพ์ในมือ พร้อมเสียงร้องไห้....ที่ดังขึ้นภายในห้อง
และนั่นก็คือครั้งสุดท้าย...ที่ได้ติดต่อกับพี่เจมส์
..............................
ในชีวิตคนเรา...ล้วนมีผู้คนผ่านเข้าออกมากมาย เหมือนรถไฟขบวนหนึ่ง มีทั้งคนที่เดินทางกับเราไม่นานก็ลงที่สถานีใกล้ๆ หรือบางคนที่เดินทางกับเราไปลงสถานีไกลๆแล้วก็ไม่ได้พบกันอีก
ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเรื่องที่ดีของรถไฟขบวนอื่น เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็มีผู้คนเดินทางไปด้วยบนเส้นทางที่เดิน
แต่สำหรับขบวนรถไฟของฉันตอนนี้ มันดูว่างเปล่า ไม่มีแม้ใครสักคนที่จะอยู่ข้างในและร่วมเดินทางไปด้วยกัน ฉันได้แต่นั่งคิดถึงผู้คนคุ้นเคย ที่หายไปทีละคน...จนหมดขบวน
และเฝ้าคิดว่า..ในเศษเสี่ยวความทรงจำของพวกเขาเหล่านั้นจะยังคง.....คิดถึงขบวนรถไฟขบวนนี้หรือไม่
เพราะตอนนี้..ขบวนรถไฟที่ถูกทอดทิ้งขบวนนี้...เต็มไปด้วยความเหงาและอ้างว้างเหลือเกิน