หลังจบงานแถลงข่าววันนั้นข่าวของฉันก็ออกอากาศทันที
“ปอร์เช่แถลงว่าไม่ได้สวยเพราะศัลยกรรม! แต่เพราะสบู่เบนเนทปาปาย่า!”
“ใช้สบู่เบนเนทปาปาย่าสยบข่าวลือ! สวยจริงเพราะเป็นของดี!”
“ยอมทำทุกอย่างเพื่อสวย! เพราะโดนบูลลี่มาตั้งแต่เด็ก! ยกเว้นศัลยกรรม!”
เนื้อข่าวเปลี่ยนไป หันไปพูดเรื่องสบู่เบนเนทและเรื่องการบูลลี่แทน ส่วนในโลกโซเชียลเองก็มีความเห็นแตกเป็นสองฝ่าย
“น้องปอร์เช่พูดถูก คนที่ก้าวข้ามอดีตที่โหดร้ายมาแล้ว สังคมยังจะไปขุดคุ้ยทำไม สนับสนุนน้องปอร์เช่!”
“ไม่จริง! สบู่ก้อนเดียวจะเปลี่ยนคนให้สวยจากหน้ามือเป็นหลังมือได้อย่างไร?”
“ใช่! ฉันใช้สบู่ยี่ห้ออื่นมาตั้งแต่สาวๆจนห้าสิบแล้ว ยังไม่เห็นเปลี่ยนเลย”
ทั้งสองฝ่ายเถียงกันไปมาจนโลกโซเชียลร้อนระอุ จนกระทั่งมีโพสท์หนึ่งปรากฏขึ้น
“ทุกคน! ผมทำงานอยู่ในวงการแพทย์ ขอยืนยันได้ว่าเรื่องที่น้องปอร์เช่พูดมีความเป็นไปได้ รวมถึงข้อมูลต่างๆที่มานำเสนอก็เป็นของจริงไม่ได้มีการตัดต่อ สบู่เบนเนทอาจเป็นส่วนหนึ่ง แต่การออกกำลังกายและทานอาหารที่มีประโยชน์สำหรับเด็กวัยนี้ ก็ทำให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงได้ แน่นอนว่าฮอร์โมนของแต่ละคนก็จะมีส่วนทำให้ผลลัพท์แตกต่างกัน นอกจากนี้ยังมีผลงานวิจัยชิ้นหนึ่งได้ทำการทดลอง แล้วพบว่าจิตใจของคนในช่วงการเจริญเติบโต ก็มีผลต่อรูปร่างของคนเราเช่นกัน ”
เมื่อมีโพสท์จากคุณหมอท่านหนึ่งออกมาสนับสนุนเรื่องราวของฉันว่าสามารถเป็นไปได้ ผู้คนต่างก็แชร์กันออกไปมากมายและเริ่มเห็นด้วย
คืนวันนั้นทางค่ายได้ปล่อยสกู๊ปของฉันออกมา ซึ่งในสกู๊ปนอกจากเป็นเรื่องราวของฉันตั้งแต่ทำคลิปร้องเพลงแรกๆจนถึงงานโรงเรียนและได้ปล่อยเพลงแรกออกมา ต่อด้วยเพลงเร็วพร้อมด้วยท่าเต้นที่สร้างปรากฏการณ์ และปิดท้ายด้วยเรื่องราวในวันแถลงข่าว
ถือว่าทีมงานทำงานด้วยความรวดเร็วและตั้งใจมากจริงๆ
เพราะเมื่อสกู๊ปของฉันถูกออกอากาศทางช่องโทรทัศน์ กระแสของฉันก็เริ่มกลับมามากขึ้นกว่าเดิม เพราะผู้คนส่วนใหญ่มองว่าการที่สื่อไปขุดคุ้ยเรื่องราวในอดีตและบูลลี่เสียเอง ดูเป็นสิ่งที่ไม่น่ากระทำ รวมถึงผู้คนมากมายยังกดดันให้สื่อต่างๆออกมาแถลงข่าวขอโทษฉันด้วย
เรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากมาย ในขณะที่ฉันเองตอนนี้ก็ถึงที่ห้องแล้ว
เมื่อถึงที่ห้อง ฉันก็ถอดฮู๊ด แว่นตากันแดดและผ้าปิดปากออกและนั่งถอนหายใจทันที
“เฮ้อ! นึกว่าจะไม่รอดซะแล้ว ” ฉันพูดขณะที่นั่งอยู่บนเตียง
“ยัยหนู! ครั้งนี้เจ้ากล้ามาก ข้าเองยังนั่งกลัวอยู่ว่าจะมีคนจับได้อยู่เลย”พี่สาวซาตี้พูดขึ้นขณะที่มองดูฉันที่นั่งอยู่บนเตียง.....ด้วยร่างเก่า
ใช่แล้ว! ฉันออกไปแถลงข่าวด้วยร่างนี้ โดยไม่มีใครรู้ ยากหน่อยก็ตอนที่ต้องใส่รองเท้าเสริมความสูงกับสายตาที่ต้องใส่คอนแทคเลนส์
ต้องย้อนกลับไปหลังจากพี่สาวซาตี้กลับมา ก็บอกฉันเรื่องเวทย์ต้องห้ามว่า
“การจะลบเวทย์ต้องห้ามได้ มีระบุไว้ว่าต้องใช้น้ำตานางฟ้ามาทำพิธีเท่านั้น แต่ในเผ่าพันธุ์วิญญาณเองก็ไม่มีใครรู้ว่าน้ำตานางฟ้านี้คืออะไร”
“แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะ พี่สาวซาตี้?” ฉันถามขึ้นเมื่อได้ยินข้อมูล
“ผู้อาวุโสในเผ่าพันธุ์วิญญาณ สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นน้ำตาจากเผ่านางฟ้า ซึ่งเราต้องตามหาให้เจอ”
“แล้วเราจะไปตามหาเผ่านางฟ้าได้ที่ไหนกัน?” ฉันถามต่อ
“เผ่านางฟ้าเองก็ปะปนอยู่ในโลกมนุษย์นี้เช่นกัน ข้าจะลองติดต่อเผ่าพันธ์วิญญาณตนอื่นดู อาจจะมีใครเคยพบบ้างก็ได้”
“แต่เวทย์ต้องห้ามนี้ ตามที่รู้มาก็ไม่ได้มีผลร้ายกับเจ้าเพียงอย่างเดียว มันเองก็มีผลดีต่อภารกิจที่เจ้าต้องทำด้วยเช่นกัน”
“เพราะความยากในภารกิจของเจ้าจะลดลงเหลือเพียงหนึ่งในสิบ”พี่สาวซาตี้อธิบาย
“หมายความว่าอย่างไรที่ลดลงหนึ่งในสิบ?” ฉันเริ่มสนใจคำนี้มากขึ้น
“ไม่มีใครรู้ว่าหมายถึงอะไร เพราะตัวเวทย์ต้องห้ามจะเป็นผู้ตัดสินเอง เพียงแต่หากเจ้าทำมันสำเร็จนอกจากจะกลับมาสวยเหมือนเดิมแล้วยังจะได้รับโชคครั้งใหญ่เป็นรางวัลอีกด้วย” พี่สาวซาตี้พูดเสริม
สรุปว่าฉันกับพี่สาวซาตี้ต้องตามหาน้ำตานางฟ้าให้ได้เพื่อที่จะกลับสู่ร่างเดิม ซึ่งตอนนี้เหลือเวลาอีกเพียงสองอาทิตย์เท่านั้น
“ยัยหนู! แล้วหากว่าพวกเราตามหาน้ำตานางฟ้าไม่ได้ เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป?”พี่สาวซาตี้ในตอนนี้ถามขึ้น ขณะที่กำลังหาของกินในตู้เย็น
“หนูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆคงไปอักเพลงที่ค่ายด้วยร่างนี้ไม่ได้ เรื่องศิลปินที่จะมาร้องเพลงร่วมกันก็คงไม่มี แต่ยังไงก็คงต้องขึ้นไปร้องเพลงในรอบสุดท้ายให้ได้” ฉันตอบพี่สาวซาตี้
“เจ้าจะขึ้นไปร้องเพลงด้วยร่างนี้นะเหรอ?” พี่สาวซาตี้ตกใจเมื่อได้ยินคำตอบฉัน
“ใช่! อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เพราะถ้าหนูทำภารกิจไม่สำเร็จก็ต้องอยู่ในร่างนี้อยู่ดี สู้ใช้โอกาสสุดท้ายทำสิ่งที่ตัวเองอยากทำน่าจะดีกว่า อีกอย่างหนูก็ไม่อยากโกหกใครอีก ถ้าคนจะรู้ก็ให้รู้กันไปเลย!” ฉันตอบพี่สาวซาตี้ด้วยความมั่นใจ
จากนั้นไม่กี่วันต่อมา ฉันก็โทรคุยกับทางค่ายถึงสิ่งที่ฉันต้องการ
...........................
“ล้มเหลว! เจ้าทำให้ข้าผิดหวังมาก” เสียงซาตานดังขึ้นภายในห้องพักของนายต้นกล้า
“ผมขอโทษครับท่านซาตาน พอพูดเรื่องพันธสัญญาไปแล้วทุกคนก็หาว่าผมบ้า ก็เลยถูกพาตัวออกมา” เสียงนายต้นกล้าตอบกลับซาตานด้วยความหวาดกลัว
“เพราะเจ้าคุมสติตัวเองไม่ได้ต่างหาก หากเจ้าค่อยๆต้อนยัยเด็กนั่น สุดท้ายก็จะยอมรับไปเองเพราะจนมุม” เสียงซาตานดังขึ้น
“อีกสองอาทิตย์ยัยเด็กนั่นจะขึ้นร้องเพลงรอบสุดท้าย เจ้าจงใช้โอกาสนี้ทำให้มันยอมรับให้ได้ คงรู้ผลลัพท์ใช่ไหมว่าหากเจ้าทำไม่สำเร็จอีก นอกจากจะกลับไปอยู่ร่างเดิมแล้ว ข้าจะสาปเจ้าให้ดูน่าเกลียดยิ่งกว่าเดิม! เข้าใจไหม?” เสียงซาตานขู่นายต้นกล้าอีกครั้ง ก่อนหายเงียบไป
“ปอเทือง! เธอทำให้ฉันต้องลำบาก ครั้งนี้ฉันจะทำทุกทางเพื่อให้เธอยอมรับให้ได้” นายต้นกล้ามองมีดคัทเตอร์ในมือด้วยสายตาที่เคียดแค้น ก่อนมองไปรอบๆห้องที่เต็มไปด้วยรูปของฉันสมัยก่อน ที่ถูกติดเข้ามาใหม่อีกรอบ!
ไม่นานหลังจากนั้น ทางค่ายเพลงก็ปล่อยเพลงของฉันออกมา มันเป็นเพลงที่อัดด้วยโทรศัพท์มือถือธรรมดาที่ฉันส่งให้กับทางค่าย โดยยังไม่มีชื่อเพลงและดนตรี
“นี่คือเพลงของหนูที่อยากให้ทางค่ายลงหากเห็นว่าไม่ผิดกฎ มันไม่มีดนตรีเพราะในช่วงนี้จิตใจของหนูยังไม่พร้อม จึงไม่สามารถไปอัดเสียงกับทางค่ายได้ แม้จะทำให้ทางค่ายไม่สามรถติดต่อศิลปินระดับโลกมาร่วมร้องได้ก็ไม่เป็นไรค่ะ หนูยอมรับผลในส่วนนี้ ส่วนชื่อเพลงนี้หนูจะบอกกับทุกคนในวันนั้นเอง”
นี่เป็นข้อความที่ฉันส่งมาพร้อมกับเพลงทางอีเมล์ ซึ่งทางพี่โอมก็ได้เอาไปคุยกับผู้ใหญ่และทุกคนลงความเห็นว่าอนุมัติ เพราะฉันไม่ได้ทำผิดกฎและเป็นการสร้างกระแสของรายการได้ดี
“แม้เพลงจะมีแต่เสียงร้องแต่ก็เพราะจับใจ ด้วยเนื้อเสียงและเนื้อเพลง น่าจะสร้างกระแสของรายการได้ดี” ผู้บริหารคนหนึ่งกล่าวในที่ประชุม
พอเพลงของฉันปล่อยไปไม่นาน คะแนนโหวตก็หลั่งไหลเข้ามามากมายทั้งจากเรื่องราวในข่าวและคนที่ชอบบทเพลง จนสื่อต้องพาดหัวข่าวและรายงานข่าวเรื่องนี้กันแทบทุกช่อง
“ไอดอลสาวจอบขบถ! กับเพลงที่กำลังสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่!”
.........................