ย้อนกลับไปเมื่อครึ่งชั่วโมงที่ผ่านมา....ภายในห้องแต่งตัว
“ยัยหนู! เจ้าแน่ใจหรือว่าจะขึ้นร้องเพลงในร่างนี้?” พี่สาวซาตี้ถามฉันเมื่อรับรู้การตัดสินใจ
“แน่ใจค่ะ! เพราะหนูคงไม่มีโอกาสจะได้ร้องเพลงต่อหน้าผู้คนเยอะๆแบบนี้แล้ว! นี่อาจเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย อย่างน้อยหนูก็ขอเก็บภาพนี้ไว้เป็นของขวัญในชีวิตครั้งหนึ่งนะคะ” ฉันพูดกับพี่สาวซาตี้
เราทั้งสองคนนั่งเงียบอยู่ภายในห้องโดยที่ไม่รู้จะพูดอะไร เพราะก่อนหน้านี้ความพยายามตามหาน้ำตานางฟ้าของพวกเรานั้นล้มเหลว!
ตั้งแต่พี่สาวซาตี้กลับมา พวกเราหาเบาะแสมากมายและเดินทางไปทั่วโลกด้วยเวทมนต์ของพี่สาวซาตี้ จนได้พบกับเผ่าพันธ์ุนางฟ้าตัวจริง
“พวกเจ้าเดินทางมาตามหาน้ำตานางฟ้า แต่พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่ามันคืออะไร?” นางฟ้าคนสวยที่พวกเราพบที่ขั้วโลกเหนือพูดถามขึ้น
เราทั้งสองคนส่ายหน้า เพราะไม่รู้จริงๆว่าน้ำตานางฟ้าคืออะไร!
“เผ่าพันธ์ุนางฟ้าไม่มีน้ำตา แต่น้ำตานางฟ้าที่พวกเจ้าพูดถึงนั้นมีอยู่จริง!” นางฟ้าบอกกับพวกเรา
“งั้นพวกเราจะได้น้ำตานางฟ้ามาได้อย่างไรคะ?” ฉันถามขึ้นเพราะดูจะมีความหวัง
“น้ำตานางฟ้า คือจิตวิญญาณของพวกเราเผ่านางฟ้า การจะได้น้ำตานางฟ้านั่นหมายถึงต้องมีคนปลิดชีพนางฟ้าตนนั้น ร่างกายและจิตวิญญาณของเราจึงจะกลายเป็นหยดน้ำหยดหนึ่ง ที่เรียกว่าน้ำตานางฟ้า” นางฟ้าอธิบาย
“นั่นหมายความว่า.....?” ฉันอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำอธิบาย
“ใช่! พวกเจ้าทั้งสองต้องสังหารข้า ถึงจะได้น้ำตานางฟ้าตามที่ต้องการ” นางฟ้ายิ้มเหมือนไม่ได้กลัวพวกฉันเลย
“แล้วทำไม! พี่สาวนางฟ้าถึงบอกเรื่องนี้กับพวกเรา พี่สาวไม่กลัวหรือว่า.....” ฉันถามแบบตะกุกตะกัก
“ไม่กลัวว่าพวกเจ้าจะมาสังหารตัวข้าน่ะหรือ! ไม่หรอก! ข้าไม่ได้หวาดกลัวต่อความตาย ข้าใช้ชีวิตมานานมากแล้ว ผ่านหลายๆอย่างมาจนชีวิตไม่ได้มีความหมายอีกต่อไป หากเจ้าอยากได้ตัวข้าเองก็ยินยอมสละชีวิตให้” พี่สาวนางฟ้าพูดและยิ้มให้กับฉัน
ฉันและพี่สาวซาตี้มองหน้ากันอยู่นาน ก่อนที่พวกเราทั้งสองจะตัดสินใจ......
บอกตามตรงว่าฉันยอมกลับมาแก้ปัญหาของตัวเองและยอมรับมัน ดีกว่าที่จะทำร้ายคนอื่นเพื่อความฝันของตัวเอง เพราะฉันไม่อยากรู้สึกผิดตลอดชีวิต
ฉันไม่รู้ว่าคนที่ชอบทำร้ายคนอื่น คนเหล่านั้นนอนหลับอย่างมีความสุขได้อย่างไร
หรือมันอาจจะไม่ได้ร้ายแรงขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไร ฉันก็ขอเลือกแก้ปัญหาเอง โดยไม่ทำร้ายใครอยู่ดี
อันที่จริง! การที่คนเราเครียดและกลัวมันมักจะมีสาเหตุ ซึ่งสาเหตุนั้น...บางทีก็ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่เรา อย่างปัญหาของฉันตอนนี้ที่ไม่ได้กลัวเพราะร้องเพลงไม่ได้
แต่กลัวว่าคนจะรู้ความจริงเรื่องร่างเดิมของฉัน!
ซึ่งเมื่อเมื่อตัดความกลัวข้อนั้นออกไป ก็ไม่มีเหตุผลที่ฉันจะไม่กล้าขึ้นร้องเพลงในคืนนี้!!
ภายใต้แว่นสีดำอันใหญ่ สายตาของฉันมองผู้ชมทั่วสนามกีฬา เพื่อจดจำภาพของวันนี้ ไม่นานฉันก็หยิบไมค์ขึ้นมาแล้วเริ่มร้องท่อนแรกของเพลง
“หากวันนี้...ดอกไม้ที่ได้มอง..ไม่ได้เป็นสีแดง มันจะแทนความรักได้ไหม”
เสียงของฉันที่ร้องออกมาท่ามกลางความเงียบโดยไม่มีเสียงดนตรี ก็สะกดผู้ชมทั่วสนามกีฬา....จนถึงกับอ้าปากค้าง
“นี่มัน!.....เสียง..เสียงเพราะมาก” ผู้ชมหลายคนอุทานออกมา เมื่อได้ยินท่อนแรกของเพลง
“เวอร์ชั่นที่ปล่อยออกมาก็ว่าเพราะแล้ว แต่วันนี้ร้องสดได้เพราะมากกว่านั้นหลายเท่า” ผู้ชมคนหนึ่งอ้าปากค้างแล้วก็พูดขึ้น
“พระเจ้า! เสียงของเด็กคนนี้เพราะมากๆ ขนาดไม่เข้าใจในเนื้อเพลงยังรู้สึกถึงสิ่งที่สื่อออกมาได้” กรรมการคนหนึ่ง ที่ตกตะลึงกับเสียงของฉันแล้วพูดขึ้น
ตอนนี้ผู้คนทั่วสนามกีฬากว่าหนึ่งแสนคนต่างเงียบกริบ ราวกับไม่มีใครที่อยากจะคุยหรือขยับตัว ทุกคนต่างให้ความสำคัญกับบทเพลงที่ฉันกำลังถ่ายทอดออกมา
“หากทุ่งหญ้า...ไม่ได้เป็นสีเขียว เรายังอยากมองทุกวันหรือไม่”
“ท้องฟ้า ทะเล ภูเขา ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ หากไม่มีสีสัน เธอว่าโลกใบนี้จะเป็นอย่างไร ”
“ลองหลับตาของเธอ แล้วรับรู้สิ่งที่ฉันกำลังจะบอก...ไปพร้อมกัน”
เมื่อผู้ชมฟังถึงท่อนนี้ ก็กลับรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในสนามกีฬา แต่กำลังอยู่ในพื้นที่กว้างแห่งหนึ่งที่ทุกอย่างกลายเป็นสีขาว
“ไม่น่าเชื่อ!...เพลงๆนี้ ทำให้ฉันตกอยู่อีกโลกหนึ่งได้” เหล่าผู้ชมอุทานขึ้นมา เมื่อเห็นภาพตามเนื้อเพลง
“นี่คือฤดูแห่งความรัก ที่เต็มไปด้วยสีขาว”
“ท่ามกลางสีขาวเหล่านี้ ฉันเป็นเพียงแค่ดอกไม้ดอกเล็กๆ”
“ที่พยายามจะบอกกับทุกคน....ถึงความรักของฉัน”
ตอนนี้ผู้ชมในสนามบางคนเริ่มมีน้ำตาซึม เมื่อมองเห็นดอกไม้ดอกเล็กๆ ที่กำลังพยายามจะแสดงตัวตนท่ามกลางสีขาวในพื้นที่แห่งนั้น
“เพราะฉันไม่อยากให้คุณมองเห็น แต่อยากให้คุณรู้สึก”
“ทุกครั้งที่คุณได้กลิ่นหอมนี้.....ฉันขอเพียงให้คุณ...แค่คิดถึงกัน”
เมื่อถึงท่อนนี้ กลิ่นหอมประหลาดก็ลอยออกมาทั่วสนามกีฬา มันเป็นกลิ่นหอมที่ทำให้ผู้คน นึกถึงคนรักที่แตกต่างกัน
“ที่รัก...เธอสบายดีไหม?” ชายคนหนึ่งที่กำลังหลับตา มองเห็นภาพภรรยาของตนที่จากไปเมื่อสี่ปีก่อน กำลังยืนยิ้มให้อย่างมีความสุข
“เธอ!...เธอยังรอฉันอยู่ใช่ไหม?” หญิงสาวผู้หนึ่งที่กำลังหลับตา เธอมองเห็นภาพแฟนเก่าที่เลิกรากันเพราะความไม่เข้าใจ เขาเดินเข้ามาแล้วจับมือของเธอ
“แม่!......” หญิงสาวอีกคน มองเห็นภาพแม่ของตัวเองในสมัยก่อน ที่กำลังทำกับข้าวและแต่งตัวให้เธอไปโรงเรียนด้วยสีหน้าแห่งความสุข
ตอนนี้ผู้คนทั่วทั้งสนามต่างหลับตา แล้วเห็นภาพของคนที่รักแตกต่างกันไป ทั้งสุข ทั้งเศร้า หัวเราะและร้องไห้
ไม่เพียงแต่ผู้ชมในสนามกีฬา แต่ผู้คนที่อยู่ทางบ้านเอง ก็ไม่ต่างกัน
“ตา! ตามีความสุขดีใช่ไหม” ภาพยายของฉันหลับตา กำลังกอดรูปถ่ายกับเสื้อของตาไว้ในอ้อมกอดหลังจากได้ฟังเพลง ในจิตนาการนั้น ก็มองเห็นคู่ชีวิตที่จากไป กำลังยืนยิ้มอยู่ที่ต้นอาฮวนต้นเดิม
“ยายสบายดีนะ!” ตาถามยายด้วยรอยยิ้มที่คุ้นเคย
“ตา!...ตาเป็นอย่างไรบ้าง? สบายดีไหม?” ยายเดินเข้าไปกอดตา ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรต่อแต่กอดกันด้วยความรัก
ในขณะที่แม่ของฉันเองก็หลับตา แล้วมองเห็นภาพของพ่อเดินมานั่งอยู่ข้างๆพร้อมจับมือของแม่
“พี่...ลูกของเราโตแล้วนะ” แม่พูดกับพ่อแล้วก็นั่งกอดพ่อ พ่อมองมาที่แม่แล้วไม่ได้ตอบอะไร เพียงแต่โอบกอดแม่อย่างอบอุ่น...เหมือนที่เคยทำ
ฉันเองหลังจากร้องท่อนนี้จบ ก็หลับตาและเห็นภาพเหล่าผู้คนคนมากมายที่เข้ามาในชีวิตเช่นกัน หลังกลิ่นหอมของดอกอาฮวนในความคิด ถูกถ่ายทอดผ่านเสียงเพลงเพื่อให้ผู้คนจินตนาการถึงความคิดถึงของคนรักที่รอคอย
ขณะที่ผู้คนกำลังอยู่ในจินตนาการ ท่ามกลางความเงียบสงบ เสียงกีตาร์โปร่งในเมโลดี้ที่ไพเราะ ก็ดังขึ้นอย่างแผ่วเบา และขับกล่อมช่วงเวลาแห่งความคิดถึงนี้ให้มากขึ้นกว่าเดิม
ฉันมองตามเสียงกีตาร์โปร่งไปที่ด้านข้างของเวที แล้วก็น้ำตาไหลออกมาเช่นกัน เมื่อพบว่าคนที่ดีดกีต้าร์โปร่งและกำลังเดินมายืนอยู่ข้างๆ ก็คือ “พี่เจมส์”
“พี่เอง....ก็มาตามหาดอกอาฮวนเหมือนกัน”
...................................