ย้อนอดีต ตามหา...แม่ของลูก
ตอนที่ 53 เริ่มต้นธุรกิจเต็มตัว
ตั้งแต่ลาออกจากที่ทำงานเก่า ผมก็กลับมาช่วยพัฒนาสวนที่บ้านของตัวเอง แถมยังเริ่มเปิดบริษัทเกี่ยวกับพัฒนาที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย
 
อาจฟังดูดีแต่ทั้งบริษัทก็มีผมอยู่แค่คนเดียว
 
“เจ้าธีย์ แกเปิดบริษัทแบบคนอื่น ๆ เขาแล้ว ทำไมพ่อไม่เห็นแกจะมีลูกน้องมาช่วยงานเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาเลยล่ะ?” พ่อของผมถามขึ้น เมื่อเห็นผมวุ่นเรื่องโทรศัพท์และทำเอกสารขายที่ดิน
 
“ก็เปิดเอาไว้เสียภาษีน่ะพ่อ ถ้าขายในแบบส่วนบุคคล ปลายปีภาษีมันจะเยอะมากเกินไป” ผมตอบพ่อของผมกลับไป
 
“แล้วแกไม่คิดจะหาแฟนกับเขาบ้างเหรอ หนุ่ม ๆ แถวบ้านเรา อายุน้อยกว่าแกเค้ามีลูกกันหมดแล้ว” แม่ผมถามเรื่องแฟนด้วยความเป็นห่วง
 
“ถึงเวลาก็มาเองนั่นแหละแม่ ตอนนี้หาเงินก่อน ยังไม่มีปัญญาเลี้ยงใครเลย” ผมตอบแม่และตั้งใจทำเอกสารเหมือนเดิม
 
สิ่งหนึ่งที่ผมเรียนรู้ในอดีตก็คือ การมีครอบครัวที่ดี ควรมีฐานะการเงินที่มั่นคงด้วย เพื่อที่จะเอาไว้สร้างอนาคตและสำรองยามฉุกเฉิน
 
ชีวิตก่อนนี้ ผมทำงานไปวัน ๆ แล้วก็รับเงินเดือนแถมยังเสียคนเพราะติดสุรา พอช่วงท้ายกลับมาทำสวนที่บ้านแม้จะมีรายได้แต่ก็ยังไม่มากเท่าไหร่
 
เมื่อมีโอกาสย้อนกลับมาเปลี่ยนแปลงเรื่องความรัก ผมจึงต้องแก้ไขเรื่องความมั่นคงของตัวเองด้วย
 
ระหว่างนี้ผมก็ยังติดต่อกับน้ำหวานอยู่ เนื่องจากพ่อของเธอมีรายได้จากการขายที่ดินมากขึ้น ตอนนี้ที่บ้านเธอก็ได้ติดโทรศัพท์บ้านแล้วเช่นกัน โดยทำเป็นแบบหยอดเหรียญเพื่อให้ชาวบ้านในตลาดมาใช้บริการได้ด้วย เป็นการเพิ่มรายได้อีกทาง ซึ่งไอเดียนี้ผมเป็นคนแนะนำเอง
 
ผู้คนสมัยนี้อาจเห็นเป็นเรื่องแปลก แต่ในยุคนั้นการขอโทรศัพท์พื้นฐานไว้ใช้ในบ้านต้องใช้เงินมากพอสมควร เพราะคนทั่วไปยังเขียนจดหมายหรือโทรเลขกันอยู่เลย
 
เสียดายที่ผมไม่มีเงินมากและความรู้เรื่องธุรกิจการสื่อสาร ไม่อย่างนั้นจะเริ่มเปิดบริษัทด้านนี้ก่อนคนอื่น ๆ
 
บริษัทเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ของผมค่อย ๆ เติบโตขึ้น ตอนนี้ผมไม่ได้ขายแค่ที่ดินเพียงอย่างเดียวแล้ว แต่เริ่มทำห้องแถวและบ้านเช่าเพิ่มขึ้นอีกทางหนึ่งด้วย
 
“เจ้าธีย์ นี่แกมีรายได้จากค่าเช่าเยอะขนาดนี้เลยหรือนี่ แม่ว่าไม่ต้องทำสวนกันแล้วมั้ง เก็บแค่ค่าเช่าก็อยู่ได้แล้ว” แม่ของผมตาโต เมื่อเห็นผมกำลังนับเงินที่ไปเก็บค่าเช่ามา
 
“ไม่เยอะหรอกแม่ หมดค่าที่ดินกับค่าก่อสร้างไปมากอยู่ อีกหลายปีนั่นแหละกว่าจะคืนทุน” ผมอธิบายให้แม่ฟัง ก่อนแม่ผมจะฝันหวานมากไปกว่านี้
 
“เออ! พ่อลืมบอกไป ที่ข้าง ๆ เขาประกาศขายนะ แกสนใจไหม พ่อจะได้คุยให้” พ่อของผมพูดเรื่องที่ข้างบ้าน
 
“สนใจสิพ่อ ไปคุยมาก่อนเลย ถ้าไม่แพงเราจะได้ขยายสวนของเราได้” ผมแสดงความสนใจทันที
 
ตอนนี้เป็นช่วงเปลี่ยนรัฐบาลแล้ว หลังจากที่นายกคนเดิมเจ้าของสโลแกนปลี่ยน สนามรบเป็นสนามการค้า โดนรัฐประหาร และก็วุ่นวายต่อเนื่องไปจนเกิดเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ”
 
หลังจากมีการเลือกตั้งและเปลี่ยนรัฐบาลไปหลายครั้ง เศรษฐกิจก็ชลอตัวลงเล็กน้อย อัตราเงินเฟ้อเริ่มสูงขึ้น แม้คนทั่วไปยังรู้สึกเฉย ๆ และรับรู้แค่ว่า...การค้าขายเริ่มไม่ดีเหมือนเดิม
 
แต่ผมรู้ว่า....หายนะใหญ่ทางเศรษฐกิจกำลังมา
 
จึงได้เตรียมตัวไว้สำหรับวิกฤติการณ์ครั้งนั้น เพราะมันคือฝันร้ายช่วงหนึ่งที่แย่ที่สุดของคนไทย
 
นั่นก็คือ “ยุคต้มยำกุ้ง”
 
“น้ำหวาน ตอนนี้ป๊าซื้อที่ไว้เยอะไหม?” ผมโทรถามน้ำหวานเมื่อใกล้ถึงเหตุการณ์ต้มยำกุ้ง
 
“ตอนนี้ไม่เยอะแล้ว เหลือแค่ที่แปลงที่ธีย์บอกว่าให้เก็บไว้แค่นั้นเอง” น้ำหวานตอบผมทางโทรศัพท์กลับมา
 
“โอเค บอกป๊าว่าอย่าเพิ่งซื้อที่เพิ่มกับลงทุนด้านอื่น ๆ นะ แล้วให้เอาเงินเย็นที่จะลงทุนไปซื้อเงินดอลล่าห์เก็บไว้ อีกไม่นานป๊าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนซื้อที่ดิน” ผมบอกถึงแผนการเตรียมตัวให้น้ำหวานฟัง
 
ผมเองทำตามที่บอกกับน้ำหวานเช่นกัน ขายที่ดินแปลงที่ไม่สวยเพื่อเปลี่ยนเป็นเงินสดและซื้อเงินดอลล่าห์เก็บไว้
 
เพื่อรอการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
 
.............................
 
และแล้วในปี 2540 วิกฤติต้มยำกุ้งก็แผลงฤทธิ์
 
เริ่มจากรัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาทหลังจากโดนโจมตีค่าเงินอย่างหนัก เพราะธนาคารแห่งประเทศไทยพลาดที่เอาเงินทุนสำรองมาสู้จนหมดหน้าตัก
 
จากอัตราแลกเปลี่ยน หนึ่งดอลล่าห์สหรัฐต่อ 25 บาท ไต่ทะยานเป็น 50 กว่าบาท บริษัทหลายรายขาดทุนจนต้องปิดตัวลง พนักงานบริษัทถูกลอยแพ จนต้องมาเปิดท้ายขายของเพื่อประทังชีพ
 
แม้ผมจะรู้เหตุการณ์นี้ดี แต่ก็ไม่สามารถไปบอกผู้ใหญ่ในรัฐบาลได้ เพราะผมไม่ใช่คนดังอะไร เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่าเป็นบ้า
 
จึงทำได้เพียงปกป้องครอบครัวและคนรอบตัวเท่านั้น
 
แต่ถึงกระนั้น! ผมก็ยังเอาที่ดินผืนหนึ่งที่ติดถนน มาทำตลาดนัดเป็นให้คนตกงานมาขายของฟรีโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
 
รวมถึงชวนพ่อกับแม่มาทำอาหารมาแจก ให้ผู้ไม่มีรายได้ทุกวันอีกด้วย
 
ก็เรียกได้ว่า...ช่วยได้ตามกำลังที่ผมมีนั่นแหละ
 
หลังจากที่อัตราแลกเปลี่ยนแตะที่ระดับสูงสุด ผมก็โทรบอกให้พ่อของน้ำหวานเทขายเงินดอลล่าห์ออกไป สร้างความยินดีกับครอบครัวของเธอมากที่สามารถลงทุนแล้วได้กำไรมากมาย
 
“ธีย์! ป๊าขอบคุณมากนะที่แนะนำ ที่บ้านเราก็ทำอาหารแจกคนตกงานในตลาดเหมือนกัน ตามที่ธีย์บอก แถมตอนนี้พอขายเงินดอลล่าห์แล้วได้กำไรมาก ป๊าก็เปิดเป็นโรงทานแล้วชวนเพื่อน ๆ มาร่วมกันทำอาหารแจกคนที่ตกงานเพิ่มขึ้นอีก ” น้ำหวานเล่าเรื่องที่บ้านของเธอให้ผมฟัง
 
ชีวิตที่แล้ว ผมคบกับน้ำหวานเกือบสิบปี ได้ฉุดรั้งชีวิตของเธอและไม่เคยสนใจปัญหารวมถึงเรื่องราวของครอบครัวเธอเลย ไม่ว่าจะเป็นการที่เธอต้องถูกคลุมถุงชน พ่อของเธอป่วยจนใช้เงินทั้งหมดเพื่อรักษา แถมยังขาดทุนจากวิกฤติต้มยำกุ้งอีก
 
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ ถูกเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
 
จนผมก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า สมัยนั้น...ทำไมผมถึงทำตัวไม่มีความคิดแบบนี้
 
คิดไปคิดมา อารมณ์ช่วงหนึ่ง ผมก็คิดถึงใบหน้าใสๆ แก้มยุ้ย ของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง
 
ผมอยากกอดและได้ยินเสียงของเธอมากจริง ๆ จนมีน้ำตาหยดเล็ก ๆ ไหลลงมาจากหางตา
 
ใช่แล้ว...ตอนนี้ผมกำลังคิดถึงน้องมีน คนที่พาให้ผมมีโอกาสแก้ตัวใหม่อีกครั้ง
 
 “พ่อคิดถึงหนูนะ น้องมีน...ลูกสาวของพ่อ”
 
........................
ตอนต่อไป
ตอนที่ 54 จ้างให้ไปหาหมอ