ตอนที่ 1 ออกแขก
ตอนนี้ผมยืนอยู่บนเวทีประกวดแห่งหนึ่ง ที่มีผู้ชมนับหมื่นคนอยู่ในฮอลล์และมีผู้ชมอีกหลายล้านที่นั่งดูอยู่ทางโทรทัศน์ทางบ้าน
 
แม่เจ้าโว้ย! พอคิดถึงผลการประกวดที่กำลังจะประกาศแล้วก็ตื่นเต้นชะมัด
 
ผมคิดย้อนกลับไปถึงวันที่ผมตัดสินใจเข้าร่วมประกวด แล้วก็ไม่คิดว่าตัวเองจะมาทำอะไรแบบนี้ บางทีสิ่งที่ผลักดันเราอาจจะไม่ใช่เรื่องดี ๆ อย่างที่เราเคยคิด
 
แม้ตัวผมเองจะเคยมีความฝันเหมือนคนอื่น ๆ แต่พอโตขึ้น โลกแห่งความเป็นจริงก็มักจะนำทางให้เราออกห่างจากความฝันนั้นเสมอ
 
ส่วนเรื่องประกวดครั้งนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับความฝันเลย มันเกี่ยวกับเรื่องของ....หนี้สินล้วน ๆ
 
ใช่แล้ว...บางทีการเป็นหนี้อาจได้อะไรมากกว่าที่คุณคิด นอกจากความเครียดที่ต้องหาเงินแล้ว คุณอาจจะได้ทำเรื่องบ้า ๆ มากมายในตอนนั้น เหมือนผมนี่แหละ!
 
ไม่รู้ว่าจะขอบคุณหนี้สินหรือสมเพชตัวเองดี  เอ๊ะ! คนที่เป็นพิธีกรกำลังเดินเข้ามาประกาศผลแล้ว เดี๋ยวเราค่อยคุยกันต่อนะ!
 
“และผลการประกวดรอบสุดท้ายก็อยู่ในมือของผมแล้ว สำหรับทีมที่ได้เป็นตัวแทนของประเทศไทยเพื่อเข้าประกวดการแสดงระดับโลก WCS หรือ World Championship Show ได้แก่ทีม..........”
 
......................................
 
ปั๊ง!
 
“ผมไล่คุณออก! เก็บของไปวันนี้เลย” เสียงทุบโต๊ะและเสียงตะโกนไล่ออกในห้องประชุมยังดังก้องหูผมอยู่ทุกวันนี้  นั่นแหละคือจุดเริ่มต้นส่วนหนึ่ง ที่ทำให้ผมมาอยู่ที่นี่
 
“ราม! มานั่งเหม่ออะไรตรงนี้ลูก พ่อเค้าไปตามพวกมาแล้วนะ เดี๋ยวตอนบ่ายก็น่าจะมากันครบ มากินข้าวก่อนลูก วันนี้แม่มีแกงสายบัวกับปลานิลทอดที่รามชอบด้วยนะ” เสียงแม่ที่ดังปลุกผมจากภวังค์และเรียกให้ไปกินข้าว ทำให้ผมนึกย้อนถึงตอนสมัยเด็ก ๆ ที่เคยกระแดะอยากกินไก่ทอดร้านดังจากในโฆษณา มากกว่ากับข้าวแบบไทย ๆ
 
“ก็อยากกินอ่ะแม่! วันเกิดทั้งทีขอเป็นไก่ทอดร้านนี้หน่อยไม่ได้หรือไง?” ผมรบเร้าแม่ขอไก่ทอดเจ้าดังเป็นของขวัญวันเกิด เพราะอิจฉาเพื่อน ๆ ในห้องที่เคยกินกันหมดแล้ว
 
“แล้วแกงสายบัวกับปลานิลทอดมันไม่อร่อยตรงไหน ถ้าไม่กินก็ไม่ต้องกิน! พ่อเรากินกันเลยไม่ต้องรอลูกมันแล้ว” แม่ของผมแม้เป็นคนใจดีแต่ก็ไม่เคยตามใจลูก หลังจากที่เห็นพ่อกับแม่กินข้าวด้วยความอร่อยแล้ว ท้องเจ้ากรรมก็ดังโครกครากด้วยความหิว จนผมต้องลืมไก่ทอดเจ้าดัง แล้วกินกับข้าวฝีมือแม่ตามเดิม
 
จะว่าไปตั้งแต่เด็ก ๆ ผมก็ชอบอะไรที่เป็นของต่างประเทศตลอด เพราะคิดว่ามันเท่และดีกว่าของไทย
 
อย่าหาว่าผมไม่รักประเทศเลยนะ ก็บ้านผมน่ะ ไท๊ ไทย แถมยังมีคณะลิเกเป็นของตัวเองอีก ผมก็เลยเบื่อเรื่องแบบไทย ๆ พวกนี้มาก
 
พ่อของผมเป็นโต้โผคณะลิเกในจังหวัดสุพรรณ พูดง่าย ๆ ก็คือเจ้าของคณะลิเกนั่นแหละ สมัยก่อนพ่อผมนี่เจ้าชู้ตัวพ่อ ไปแสดงลิเกที่ไหนก็มีเรื่องผู้หญิงตลอด ตามที่โบราณเค้ากว่าไว้นั่นแหละ รถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ อาชีพพวกนี้อย่าได้เอามาเป็นพ่อของลูกเพราะพวกนี้เจ้าชู้ตัวพ่อจริง ๆ
 
แต่สุดท้ายเมื่อเจอแม่ พ่อก็เลิกเจ้าชู้กลายมาเป็นคนรักครอบครัว ผมเคยถามเคล็ดลับกับแม่ว่าทำอย่างไร แม่ผมก็ตอบสั้น ๆ ได้ใจความว่า
 
“แม่ก็แค่บอกพ่อว่าตอนนี้เลี้ยงเป็ดไว้และมีมีดโกนซ่อนไว้ใต้หมอน...แค่นั้นแหละพ่อแกก็เลิกเจ้าชู้”
 
ตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจหรอกนะว่ามันหมายถึงอะไร แต่ตอนนี้ผมก็รู้แล้วว่า...แม่ของผมนี่ก็โหดเรียกพี่เหมือนกัน!
 
หลังจากกินข้าวเสร็จ ผมก็มองเอกสารในมือ พลางกดเครื่องคิดเลขไปด้วย
 
อึมม! ตัวเลขนี่มันก็มหัศจรรย์จริง ๆ สามารถเลี้ยงดอกไม้เล็ก ๆ ให้เติบโตจนแทบจะกลายต้นไม้ได้ในเวลาไม่นาน โดยไม่ต้องใส่ปุ๋ย แต่เลี้ยงได้แค่ดอกไม้ชนิดเดียวนะ
 
นั่นก็คือ “ดอกเบี้ย” โดยเฉพาะดอกเบี้ยของเงินกู้นอกระบบ ที่โตได้โตดี
 
คิดดูสิ! จากเงินแค่หลักแสนผ่านไปเพียงสองปีก็กลายเป็นเงินหลายล้าน ทำเอาผมเข็ดขยาดกับเงินกู้นอกระบบไปอีกนาน
 
“ผมให้เวลาคุณสามเดือนหาเงินมาคืนผมให้หมด ไม่อย่างนั้นทั้งคุณและครอบครัวอาจจะได้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์” พี่เชิดหนึ่งในชายร่างใหญ่ของแก๊งค์เงินกู้นอกระบบพูดกับผมที่หน้าบ้าน พร้อมหยิบปืนมากเคาะหัวผมเล่น ๆ  หลังจากตามหาตัวผมอยู่นาน
 
ผมไม่เคยเห็นหน้าเห็นตาพี่เชิดหรอก เพราะแกและแก็งค์ใส่หมวกกันน็อคตลอดเวลา อาศัยว่าจำเสียงและรูปร่างของแกได้
 
เมื่อได้ยินคำขาดจากพี่เชิด ก็ทำให้ผม...อดไม่ได้ที่จะย้อนนึกถึงคำพูดของหุ้นส่วนร้านอาหาร ที่เป็นเพื่อนสนิทของผมในวันนั้น
 
“เซ็นชื่อก็พอ...อันนี้รู้จักกันไม่ต้องห่วง ไม่มีปัญหาแน่นอน” เจ้าเพื่อนตัวดี! ที่หายไปตอนร้านเจ๊งแล้วเหลือให้ผมรับผิดชอบหนี้สินคนเดียว
 
เรื่องนี้ก็ถือเป็นอีกหนึ่งจุดเปลี่ยนในชีวิตที่สำคัญของผมเช่นกัน ทั้งตกงาน ทั้งหนี้นอกระบบ ทั้งแฟนทิ้ง ช่างนัดกันมาได้พร้อมกันจริง ๆ
 
หึมม! ผมยังไม่ได้เล่าเรื่องแฟนทิ้งหรือ งั้นขอเล่าแค่ประโยคเดียวก็แล้วกัน
 
“เราเลิกกันเถอะ! เราไม่อยากอยู่กับคนไม่มีอนาคต” สั้นง่าย ได้ใจความ ความสัมพันธ์สามปีก็จบลง
 
ครบแล้วนะแรงผลักดันจุดเปลี่ยนในชีวิตของผม แต่ก็นั่นแหละ! ชีวิตเราก็ต้องดำเนินต่อไป
 
และตอนนี้ผมก็อยู่กับเหล่าผู้คนที่จะเริ่มต้นเส้นทางใหม่ ที่พ่อของผมพามารวมตัวกันราวยี่สิบกว่าคน
 
มีทั้งชายและหญิง ซึ่งส่วนใหญ่มีอายุอานามเลยห้าสิบปีทั้งนั้น
 
“ตอนนี้มากันครบแล้ว ไอ้หนูเอ็งเริ่มได้เลย!” พ่อผมให้สัญญาณ ในการเริ่มประชุมทีมครั้งแรก
 
“สวัสดีครับทุก ๆ คน ผมชื่อราม เป็นลูกชายของพ่อเชิด ที่เพิ่งกลับมาจากกรุงเทพ” ผมยกมือไหว้ทุกคนในที่นั้น พร้อมชำเลืองมองบางคนที่นั่งหลับ เหมือนรัฐมนตรีนั่งประชุมสภา
 
“เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน คณะลิเก ส.อนุรักษไทยของเรา กำลังจะกลับมาสร้างใหม่อีกครั้งในแบบเฉพาะกิจ ผมจึงอยากถามความสมัครใจว่าทุกคนยังอยากมาร่วมคณะลิเกของเราหรือไม่?” ผมโยนคำถามใส่สมาชิกที่นั่งรวมกันอยู่
 
“พวกเราแก่แล้วยังจะมีคนจ้างไปเล่นอีกหรือ สู้พวกเด็ก ๆ รุ่นใหม่ ๆ ไม่ได้หรอก” คุณยายคนหนึ่งอายุหกสิบพูดขึ้น พลางเช็ดน้ำหมากไปด้วย
 
“ใช่ ๆ ลุงเองก็ตีระนาดไม่ไหวแล้วนะ” คุณตาคนหนึ่งพูดขึ้น พลางชูแขนที่สั่นอยู่ตลอดเวลาให้ดู
 
“แถมชุดลิเก ลุงก็เอาไปขายหมดแล้วด้วย” คุณลุงวัยห้าสิบคนหนึ่งพูดขึ้นแบบอาย ๆ
 
“ไม่เป็นไร! ผมก็แค่อยากรู้ว่ามีใครที่ยังสมัครใจจะร่วมคณะลิเกของเราบ้าง ผมขอแค่มาร่วมก่อนช่วงสามเดือนหลังจากนั้น เราค่อยมาดูกันอีกที ว่าจะทำกันต่อหรือไม่” ผมพูดต่อพลางมองดูสมาชิกที่เริ่มจะถอดใจกัน
 
“แล้วเอ็งจะให้ค่าจ้างพวกเราเท่าไหร่ล่ะไอ้หนู?”  คุณตาคนหนึ่งถามขึ้น
 
“ถ้าใครที่มาร่วมกับคณะลิเกของเรา หลังจากจบสามเดือน ผมจะจ่ายให้คนละหนึ่งแสนบาท” ผมพูดด้วยความมั่นใจ
 
“โห! ทำไม่มันมากนักล่ะ เจ้าภาพจ้างพวกเราไปเล่นที่ไหนนี่ ค่าจ้างระดับนี้ มันพอ ๆ กับพระเอกดังๆระดับประเทศเลยนะ” คุณตาคนหนึ่งถามขึ้น ขณะที่คนอื่นทำสีหน้าตกใจ
 
“ที่ผมจ่ายให้คนละหนึ่งแสนก็เพราะครั้งนี้..."
 
"พวกเราจะไปเล่นลิเกกันที่.....อเมริกา!” ผมพูดพลางยิ้มด้วยความมั่นใจ
 
“หา! อเมริกา!” ตอนนี้ทุกคนตกใจจนอ้าปากค้างเลยทีเดียว!
 
..........................
 
***ออกแขก เป็นการคำนับครู อวยพรผู้ชม ขอบคุณเจ้าภาพ แนะนำเรื่อง อวดผู้แสดง ฝีมือการร้องรำ และความหรูหราของเครื่องแต่งกาย เพื่อให้ผู้ชมสนใจ และเตรียมพร้อมที่จะชมต่อไป โดยการออกแขกถือเป็นการเบิกโรงลิเก 
 
ที่มา : www.saranukromthai.or.th