ตอนที่ 2 คณะลิเกที่อายุมากที่สุดในโลก
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ อีกสามวันเก็บเสื้อผ้าแล้วมานอนกันที่นี่ เราจะเร่งซ้อมกันเพื่อให้ทันการแสดง” ผมปิดการประชุม พร้อมสีหน้าที่เต็มไปด้วยด้วยความหวังของทุกคน
 
“ไอ้หนู! เอ็งไปสัญญากับชาวคณะแบบนั้น มันจะไหวหรือวะ พ่อล่ะกลัวจริง ๆ ถ้าไม่ได้รางวัลชนะเลิศนี่ เป็นหนี้กันหัวโตเลยนะ” พ่อของผมพูดขึ้นหลังจากที่ทุกคนกลับไปแล้ว
 
“เรามีอยู่แค่ทางนี้ทางเดียวแหละพ่อที่จะใช้หนี้ได้ ผมจะเอาความรู้และประสบการณ์ทั้งหมดปลุกคณะลิเก ส. อนุรักษ์ไทยขึ้นมาใหม่ ให้ได้แชมป์และโกอินเตอร์ให้ได้” ผมพูดอย่างมั่นใจ จนพ่อของผมส่ายหัว
 
“เออ! พ่อจะคอยดูเอ็ง มีอะไรให้ช่วยก็บอกพ่อแล้วกัน” พ่อพูดทิ้งท้าย ก่อนเดินไปสูบใบจากที่ใต้ต้นไม้
 
ก่อนจะเล่าเรื่องต่อ ผมก็ขอแนะนำตัวเองก่อนแล้วกัน
 
ผมชื่อ “สอนราม  บ้านบางปลาม้า” เป็นชื่อจริงที่พ่อกับแม่ตั้งให้ ปีนี้อายุสามสิบห้าปี ก่อนหน้านี้ทำงานเป็นผู้กำกับหนังโฆษณา สาเหตุที่พ่อกับแม่ตั้งชื่อนี้ก็เพราะว่า ชื่นชอบพระเอกคนหนึ่ง ที่อ่านออกเสียงเหมือนกัน
 
แต่ที่ต้องใช้ ส. ก็เพราะทุกคนในตระกูลของเรา จะขึ้นต้นด้วย ส. กันทั้งนั้น
 
ปู่ผมชื่อสำราญ ย่าผมชื่อสำรวย พ่อผมชื่อสักเชิด แม่ผมชื่อสาหร่าย
 
และมาถึงผมก็เลยกลายเป็น “สอนราม” เรียกว่าเอาแค่ชื่อต้น ความหมายค่อยว่ากัน
 
คณะลิเก ส.อนุรักษ์ไทย ถือเป็นมรดกตกทอดของครอบครัวเรา ที่สืบทอดกันมาเป็นร้อยปี แม้จะมีประวัติอันยาวนาน แต่ก็ไม่ได้โด่งดังระดับประเทศ มีเพียงรู้จักกันแค่ในจังหวัดบ้านเกิดเท่านั้น
 
ซึ่งก็ไม่เคยคิดเลยว่า มรดกตกทอดที่ผมไม่เคยชอบตอนเด็ก
 
วันนี้จะกลายเป็นหนทางล้างหนี้ของผมไปได้!
 
..................................
 
อันที่จริง...หลังจากที่พี่เชิดตามทวงหนี้มาถึงที่บ้านผมพร้อมข่มขู่ถึงครอบครัว ผมเองก็เครียดเพราะหนี้ที่งอกเงยจากดอกเบี้ยมหาโหด จนกลายเป็นเงินห้าล้านบาท คิดแล้วก็สุดที่จะแก้ไขจริง ๆ
 
แถมคนทวงหนี้ยังชื่อเดียวกับพ่อของผม เวลามีคนเรียกชื่อพ่อผมทีไร ก็ทำให้ผมต้องสะดุ้งทุกทีไป
 
ในขณะที่นั่งเหม่อลอยเรื่องหาทางแก้ไขปัญหา เสียงโทรทัศน์ที่แม่ผมเปิดอยู่ก็เสนอข่าว ๆ หนึ่งที่จุดประกายความหวังของผมขึ้นมา
 
“การแสดงระดับโลก WCS หรือ World Championship Show ที่มีเงินรางวัลสูงถึงสิบล้านบาท ได้เริ่มเปิดรับสมัครแล้วนะคะ ปีนี้ที่ประเทศไทยจะมีการคัดเลือกตัวแทนที่ยิ่งใหญ่กว่าทุกปี..........”
 
...................................
 
“หา! เอ็งว่าอย่างไรนะไอ้หนู เอ็งเป็นหนี้ห้าล้านแล้วอยากจะปลุกปั้นคณะลิเกของเราขึ้นมา เพื่อเข้าประกวดอย่างนั้นหรือ?” เสียงพ่อของผมอุทานอย่างตกใจ เมื่อผมเล่าความจริงให้ฟัง
 
“แม่ก็ว่าแล้ว ทำงานอยู่ที่กรุงเทพดี ๆ จู่ ๆ ก็กลับมาอยู่บ้าน มันต้องมีอะไรแน่ ๆ” แม่ของผมพูดบ้าง
 
“แต่คณะลิเกเรา ปีหนึ่งมีงานแก้บนแค่ครั้งสองครั้ง แล้วก็มีแต่คนแก่ ๆ มันจะไหวหรือวะไอ้หนู แถมไอ้งานประกวดอะไรของเอ็งนี่ มันคัดคนจากทั่วประเทศเป็นตัวแทน พ่อว่าเราหาทางอื่นดีกว่าไหม ?” พ่อของผมพูดด้วยความเป็นห่วง
 
“ผมเหลือแค่ทางนี้ทางเดียวแล้วครับ อย่างน้อยพ่อกับแม่ก็อยากให้ผมสืบทอดคณะลิเกมาตั้งแต่ผมยังเป็นเด็ก ให้ผมได้ลองทำนะครับ” ผมขอร้องพ่อกับแม่อีกครั้ง
 
หลังจากที่ทั้งสองคนมองหน้ากันไปมา ก็ตอบตกลง และนั่นก็คือที่มาของการประชุมทีมคณะลิเกที่มีอายุมากที่สุดในโลกนั่นเอง
 
.................................
 
แม้ผมจะเตรียมใจยอมรับกับชาวคณะที่อายุมากแล้ว แต่พอเจอตัวจริงก็ใจฝ่อลงไปกว่าครึ่ง เพราะหลายคนมีโรคประจำตัวและบางคนเอาอุปกรณ์หากินอย่างชุดลิเกไปขายเรียบร้อยแล้ว
 
แต่ถึงกระนั้น ผมก็ยังมีความเชื่อว่า ทุกอย่างน่าจะแก้ไขได้
 
“เรื่องกินอยู่ของชาวคณะ รามไม่ต้องเป็นห่วงนะลูก บ้านเรามีที่นาผืนเล็ก ๆ มีสวนผักแล้วก็บ่อปลา คนบ้านนอกอย่างพวกเราไม่เรื่องมาก มีอะไรก็กินกันไป แล้วบ้านเราก็มีห้องหับหลายห้อง เมื่อก่อนก็อยู่กันแบบนี้ รามสบายใจได้” แม่บอกกับผม ตอนที่ผมถามเรื่องการดูแลชาวคณะ
 
เมื่อตัดเรื่องความเป็นอยู่ทิ้งไป ผมก็ให้เวลากับการเตรียมงานแสดงได้อย่างเต็มที่
 
ในคณะลิเกส่วนใหญ่จะแบ่งกันเป็นสามส่วน ส่วนที่หนึ่งก็คือนักแสดง ส่วนที่สองก็คือนักดนตรีไทย และส่วนที่สามก็คือทีมงานเบื้องหลัง แต่เนื่องจากเราเป็นคณะลิเกเล็ก ๆ ส่วนของงานเบื้องหลังไม่ว่าจะเป็นปักชุด ทำฉาก ทำเวที ขนของ ทุกคนในคณะต่างก็ช่วยกันทำด้วยความเต็มใจ
 
ตอนนี้ผมกำลังดูประวัติของทีมงานแต่ละคน โดยเฉพาะตำแหน่งที่สำคัญ
 
“คุณสงัด” พระเอกของคณะ ปีนี้อายุหกสิบ “ฉายาพระเอกสาลิกา” ไปเล่นที่ไหนก็มีแต่คนรัก เป็นพระเอกลิเกมาตั้งแต่วัยรุ่น ประสบการณ์เพียบ ฝีไม้ลายมือแพราวพราว ปัจจุบันเพิ่งลาบวชและอยู่บ้านเฉย ๆ
 
“คุณสุภาพ” นางเอกของคณะ ปีนี้อายุห้าสิบแปด “ฉายานางเอกร้อยหน้า” สมัยก่อนเคยผ่านเวทีประกวดมากมาย จนเข้าวงการลิเก ก็ตีบทแตกจนเป็นนางเอกเจ้าน้ำตา แต่งงานแล้วมีครอบครัว แต่สามีตาย ปัจจุบันเปิดร้านตัดเย็บเสื้อผ้าอยู่กับลูกสาว
 
“คุณสนิท” ดาวร้ายตัวฉกาจ ปีนี้อายุหกสิบเอ็ด “ฉายาตัวโกงคุ้งแม่น้ำเจ้าพระยา” เล่นตัวโกงเก่งจนเดินตลาดไม่ได้ เพราะแม่ค้าเกลียด ขนาดเด็กร้องไห้ยังต้องหยุดร้องเมื่อได้ยินชื่อ ปัจจุบันอยู่คนเดียวไม่มีครอบครัวและรับจ้างทั่วไป
 
“คุณสมบัติ” มือระนาดเอกของคณะ ปีนี้อายุหกสิบห้า “ฉายามือระนาดใบไม้ไหว” ตีระนาดเร็วระดับต้นของประเทศ เคยชนะการประกวดประชันกับคณะอื่นมามากมาย ปัจจุบันอยู่กับครอบครัว และเป็นโรคไขข้อตีระนาดได้ไม่เหมือนเดิม
 
“คุณสุนัย” จอมคิดบทต่อเรื่องของคณะ ปีนี้อายุหกสิบสี่ “ฉายาจ้าวปากกาทอง” เขียนบทเก่ง แต่งกลอนลิเกเยี่ยม ถึงตอนบทเศร้าก็น้ำตานอง ถึงตอนสนุกก็หัวเราะท้องแข็ง ปัจจุบันขายกาแฟและเลี้ยงหลานอยู่กับบ้าน
 
“คุณสำเริง” ตัวตลกของคณะ ปีนี้อายุหกสิบเอ็ด “ฉายาตลกพันมุข” ทำอะไรก็ขำ ไม่ว่าลูกเด็กเล็กแดงจนถึงคนสูงอายุ ต่างชื่นชอบในมุขตลก ขนาดตลกคาเฟ่ยังสู้ไม่ได้ ปัจจุบันเป็นพ่อค้าเร่ขายของเล่นเด็กตามงานวัด
 
แหม! แม้แต่ชาวคณะก็ยังขึ้นต้นชื่อด้วย ส. พ่อของผมไม่ได้ใช้เป็นกฎในการเลือกผู้ร่วมงานใช่ไหมนี่...เฮ้อ!
 
หากนี่เป็นหนังที่ผมเคยทำ ก็ต้องบอกว่านักแสดงหลักเต็มไปด้วยประสบการณ์ อยู่ที่การดำเนินเรื่องว่าจะดึงจุดแข็งของนักแสดงและทีมงานออกมาได้อย่างไร
 
ผมนั่งอ่านประวัติทีละคน ก็ไล่คิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะบางตำแหน่งอาจต้องหาสมาชิกใหม่มาทดแทน รวมถึงหาทีมงานเก่าสมัยทำงานมาร่วมโปรเจคนี้ เพื่อให้การแสดงลิเกของเราปรับรูปแบบใหม่และน่าสนใจ
 
คืนนั้นทั้งคืน ผมนั่งทำรีเสิร์ซและวางตำแหน่งบุคลากรใหม่ โดยมีการคิดเรื่องในการแสดงไว้ด้วย โดยเน้นว่าเรื่องจะต้องใหม่ เป็นสากล พล็อตดี ดูสนุกและประทับใจ
 
และแล้ว.....เมื่อถึงตอนเช้า
 
ภารกิจตามหาสมาชิกชาวคณะเพิ่มเติมของผม....ก็เริ่มต้นขึ้น!
 
................