ตอนที่ 4 พระเอกลิเกหลงโรง
ณ ตลาดสดแห่งหนึ่ง ผู้คนต่างเนืองแน่นเพื่อมาจับจ่ายใช้สอย ราวกับตลาดปกติ
 
แต่ในมุมเล็ก ๆ มุมหนึ่งของตลาด กลับมีผู้คนมากมายรุมอยู่ที่แผงขายผักแผงหนึ่ง พร้อมด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข
 
“สวัสดีครับพี่น้อง มาฟังผมร้องกันสักนิด
หากคำใดผมร้องผิด ท่านอย่าได้คิดโมโห
ผมชื่อชัย บ้านดอน
เปิดแผงขายผัก ไม่ได้ขายแตงโม”
เตร๊งงง เตรง เตร่ง เตร๊ง ....เตรง เตร่ง เตร๊ง เตรง เตร่ง.......
 
เสียงชายคนหนึ่งอายุประมาณยี่สิบปีเศษ รูปร่างสูงโปร่ง ผิวขาว หน้าตาคมเข้มแต่แฝงไปด้วยความขี้เล่นและเจ้าชู้ กำลังร้องกลอนลิเก อยู่ที่แผงขายผักของตัวเอง
 
“สวัสดีจ้าคนสวย วันนี้รับผักอะไรดีครับ?” ชายหนุ่มถามหญิงสาวที่ยืนอมยิ้มอยู่ที่หน้าแผงผัก
 
“ขอแตงกวาครึ่งโล แล้วก็ผักชีสองขีดค่ะ”
 
“แตงกวารอบนี้มาจากสวน ที่อบอวลด้วยความรัก
ส่วนผักชีก็งามนัก เพราะเป็นผักที่สวนของพี่
วันนี้พบคนงามพี่ก็ขอใจดี
ต้นหอมถุงนี้พี่แถมให้ ไม่คิดเงิน”
เตร๊งงง เตรง เตร่ง เตร๊ง ....เตรง เตร่ง เตร๊ง เตรง เตร่ง.......
 
 
ชายหนุ่มท่องกลอนลิเก พร้อมร่ายรำพลางนำผักใส่ถุง เป็นที่ถูกอกถูกใจเหล่าลูกค้าและแม่ค้าที่อยู่ในย่านนั้น
 
ผมยืนมองพร้อมอมยิ้มในใจ กับลีลาของว่าที่พระเอกลิเกของผม
 
“สมชัย บ้านดอนนาโห้” หรือ “ชัย บ้านดอน”
 
ผมรู้จักชัยจากสื่อออนไลน์ตอนที่กำลังหาสมาชิกใหม่ แล้วก็มาสะดุดตรงชายหนุ่มที่เป็นพ่อค้าขายผักคนหนึ่ง ที่มีลีลาการร่ายกลอนกลอนลิเกที่เก่งกาจ พร้อมลีลาท่ารำอันอ่อนช้อย
 
“ชัย” เคยเล่าในคลิปช่องของเขาว่า เขาใฝ่ฝันจะเป็นพระเอกลิเกมาโดยตลอดตั้งแต่เด็ก แต่ด้วยฐานะทางบ้านที่ยากจน ทำให้เขาต้องมาขายผักเพื่อดูแลน้องสาวและแม่ที่ป่วย แม้จะไม่สามารถเลือกทำในสิ่งที่ตัวเองฝันได้ แต่ชัย ก็ครูพักลักจำ ทั้งเรื่องรำและร้องลิเกจากอินเตอร์เน็ท
 
เขาใช้แผงขายผักเป็นเวทีการแสดงของตัวเอง โดยฝันว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้มีโอกาสเล่นลิเกสมใจ
 
“สวัสดีครับคุณแม่วันนี้รับอะไรดีครับ?”
 
“เอากวางตุ้งครึ่งโล ขิงข่าตะไคร้อย่างละกำจ้า” หญิงสาววัยกลางคนสั่งซื้อผักอย่างรวดเร็ว
 
“ผมเห็นคุณแม่ชอบมาร์กหน้า วันนี้แถมมะเขือเทศกับแตงกวาไปให้ด้วยนะครับ คุณแม่จะได้ใช้ตอนมาร์คหน้า ผักเราปลอดสารพิษคุณแม่วางใจได้ครับว่าไม่ทำให้ผิวคุณแม่เสียแน่นอน” นอกจากจะร้องและรำลิเกเก่งแล้วชายหนุ่มยังมีการสื่อสารและเอนเตอร์เทนลูกค้าได้ดีมาก
 
ผมยืนมองเกือบสิบนาทีก็ยังรู้สึกเพลิดเพลินและไม่เบื่อ “ชัย บ้านดอน” คนนี้เป็นพระเอกลิเกที่มีคุณสมบัติตามที่ผมต้องการจริง ๆ
 
นักแสดงภาพยนตร์กับนักแสดงเวทีนั้นต่างกัน เพราะการแสดงบนเวทีหากสามารถเอนเตอร์เทนคนดูได้ด้วย นักแสดงคนนั้นจะถูกจดจำและกลายเป็นขวัญใจของผู้ชม
 
ไม่นานแผงผักของเขาก็ขายหมด ขณะที่เขากำลังเก็บของ ผมก็เดินเข้าไปและทักทาย
 
“สวัสดีครับ พี่ชื่อรามนะครับ พี่เห็นน้องร้องและรำลิเกเก่งมาก เลยถ่ายเป็นคลิปไว้จะลงในช่องของตัวเอง ก็เลยอยากมาขออนุญาตน้องก่อน” ผมเปิดการสนทนาเหมือนเป็นแฟนคลับที่ชื่นชอบในการแสดงของชัย
 
“โอ๊ย! ไม่ต้องขออนุญาตหรอกครับพี่ลงได้เลย คนในตลาดเขาก็ถ่ายลงกันเยอะแยะครับ” ชัยพูดตอบอย่างอ่อนน้อม ชายหนุ่มคนนี้นิสัยดีจริง ๆ
 
“ขอบคุณครับ น้องไม่ได้เล่นลิเกอยู่ที่ไหนหรือครับ พี่จะได้ตามไปดู” ผมลองหยั่งเชิงชายหนุ่มก่อน เผื่อมีใครมาติดต่อตัดหน้าผมไปแล้ว
 
“ไม่ได้เล่นที่ไหนหรอกครับพี่ ผมฝึกเอาเองเพราะชอบ และคงไปเล่นที่ไหนไม่ได้เพราะแม่ของผมป่วยอยู่แถมน้องสาวก็เรียนแถวนี้ ผมเลยต้องมาขายผักเพราะทิ้งครอบครัวไม่ได้ครับ” ชัยเล่าชีวิตของเขาด้วยสีหน้าที่ยังอารมณ์ดี
 
“น่าเสียดาย น้องน่าจะได้เล่นในคณะลิเกนะ แล้วถ้ามีคนมาติดต่อให้น้องไปเล่นลิเกกับเค้า แถมช่วยดูแลแม่และน้องสาวด้วย น้องจะตกลงไหมครับ?” ผมถามชายหนุ่มเพิ่ม
 
“ถ้ามีแบบนั้นก็คงไปครับ เพราะผมรักลิเกมาก ๆ พ่อของผมเคยเป็นพระเอกลิเกมาก่อน แกเสียไปตอนที่น้องสาวผมเพิ่งเกิด ผมเลยตั้งใจเอาไว้ว่าโตขึ้นผมจะเป็นพระเอกลิเกให้ได้เหมือนพ่อครับ” ชัยพูดเรื่องอดีตของตัวเองให้ผมฟัง
 
พับผ่าสิ! ทำไมผมฟังแล้วน้ำตามันจะไหลนะ?
 
“ถ้าอย่างนั้นมาเล่นลิเกคณะพี่ไหมครับ พี่อยากให้ชัยมาเป็นพระเอกลิเกให้พี่ ทั้งซ้อมและเล่นในเวลาสามเดือน พี่จ่ายให้หนึ่งแสนบาท พร้อมดูแลแม่และน้องสาวให้ด้วย” ผมยื่นข้อเสนอทันที
 
“จริงหรือพี่! พี่ไม่ได้หลอกผมนะ แต่พี่จะจ่ายให้ผมหลังจากสามเดือนหรือแบ่งจ่ายครับ แล้วพี่จะดูแลแม่กับน้องผมอย่างไรครับ?” ชัยอุทานด้วยความดีใจ แววตาของเขาเปล่งประกายเหมือนเด็กที่สมหวัง แต่ก็ยังคิดถึงครอบครัวเป็นหลัก
 
ผมอธิบายเรื่องการจ้างของผมให้ชัยฟัง พร้อมเสนอให้ชัยและครอบครัวไปอยู่ที่บ้านผม เนื่องจากน้องสาวที่เรียนอยู่ประถมกำลังปิดเทอมจึงไม่มีปัญหาเรื่องไปอยู่ด้วยกัน ส่วนรายได้ของชัยผมจะแบ่งจ่ายให้เป็นรายเดือนก่อนเดือนละหนึ่งหมื่นบาท จนเมื่อถึงเดือนที่สามผมจะจ่ายที่เหลือให้
 
หลังจากนั่งคุยเรื่องรายละเอียดเรื่องอื่นอีกสักพัก ชัยก็ถามผมเป็นคำถามสุดท้าย
 
“แล้วพวกเราจะไปแสดงที่ไหนครับพี่?”
 
ผมยิ้มขึ้นที่มุมปาก ก่อนสวมแว่นดำและตอบชายหนุ่มไปว่า
 
“เราจะไปแสดงที่อเมริกาครับ” เมื่อตอบคำถามเสร็จ ชัยก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจเหมือนชาวคณะก่อนหน้านี้ไม่มีผิด
 
............................
 
ในคืนวันนั้น ในห้องพักของโรงแรมหรูแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มหน้าคุ้นตาผู้หนึ่ง ที่ประชาชนเกือบทั่วประเทศต่างก็รู้จักเขาดี กำลังนั่งอยู่บนเตียงนอน พร้อมโอบกอดหญิงวัยกลางคนผู้หนึ่งราวกับคนรัก
 
“พี่มินตราต้องช่วยผมในครั้งนี้ด้วยนะครับ ผมหวังกับการประกวดครั้งนี้มาก เพราะมันจะเป็นบันไดที่ทำให้ผมก้าวสู่ระดับโลกได้เร็ว ตามที่ตั้งใจไว้”ชายหนุ่มพูดจาประจบเหมือนเด็ก ๆ เขาคนนี้ก็คือ “บอย อุปกรนาศรี" ที่เป็นดาราและนักแสดงละครเวทีชื่อดังนั่นเอง
 
“ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ ลำพังแค่ชื่อเสียงของเธอก็ได้เข้ารอบเพราะฐานแฟนคลับอยู่แล้ว พวกกรรมการตัดสินน่ะ พี่รู้จักทุกคน แค่พูดและยื่นข้อเสนออื่น ๆ ให้ ทุกคนก็พร้อมจะช่วยเธออยู่แล้ว” หญิงวัยกลางคนพูดพร้อมความมั่นใจ เธอก็คือ “คุณมินตรา สากลดิเรกวัฒนาพร” เจ้าแม่สื่อในวงการบันเทิงนั่นเอง
 
“ต้องขอบคุณพี่มินตรา ล่วงหน้าด้วยนะครับ เพราะแบบนี้แหละผมถึงรักพี่มินตราที่สุดในโลกเลย” บอย อุปกรนาศรี อ้อนต่อ
 
ทั้งสองพูดคุยกันราวกับเป็นคู่รักกัน ก่อนที่สองชั่วโมงต่อมา คุณมินตราจะขอตัวกลับบ้านก่อน เพราะสามีของเธอโทรมาตาม
 
“ไอ้แก่ที่บ้านนี่ก็ชอบขัดจังหวะจริง พี่ไปก่อนนะคะ เรื่องงานประกวดน้องบอยไม่ต้องเป็นห่วงนะพี่จะดันน้องให้ถึงระดับโลกให้ได้ เมื่อถึงตอนนั้นพี่จะหย่า แล้วไปอยู่ด้วยกันกับบอยที่ต่างประเทศ” คุณมินตราพูด ก่อนกอดชายหนุ่มแล้วเดินออกจากห้องพักไป
 
หลังจากที่คุณมินตราเดินออกจากห้อง บอย อุปกรนาศรี ก็เปลี่ยนสีหน้ากลายเป็นเจ้าเล่ห์แล้วพูดพึมพำกับตัวเองว่า
 
“ยัยแก่เอ๊ย! ถ้าฉันเข้าสู่ระดับโลกเมื่อไหร่ อย่าหวังเลยว่าจะได้เจอกันอีก แค่คิดถึงตอนที่กอดแกฉันก็จะอ๊วกแล้ว” ชายหนุ่มยิ้มขึ้นที่มุมปากก่อนจะหยิบแก้วไวน์บนโต๊ะมาจิบแล้วคิดถึงอดีตที่ผ่านมา
 
....................