ตอนที่ 1 อดีตที่ไม่อยากจำ
“เฮ้ย! พวกเรานั่นมันน้องเทืองนี่หว่า”
 
เด็กมัธยมต้นชายในชุดนักเรียนคนหนึ่งตะโกนขึ้น เมื่อเด็กผู้หญิงตัวกลม แว่นหนาและมีความสูงน้อยกว่าคนอื่นๆ ใส่ชุดนักเรียน กำลังเดินผ่านกลุ่มของพวกเขา เธอกระชับกระเป๋านักเรียนที่อุ้มไว้ตั้งแต่แรกให้แน่นขึ้นแล้วรีบเร่งฝีเท้าขึ้น
         
“น้องประเทือง รีบไปไหนจ๊ะ ขาสั้นๆแบบนี้ระวังจะล้มแล้วกลิ้งเป็นลูกบอลนะ” เด็กชายคนเดิมรีบวิ่งตามหมายมาดักข้างหน้าพร้อมกลุ่มเพื่อนอีก 5 คน เด็กผู้หญิงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังตามอยู่ด้านหลัง ก็เร่งขาที่สั้นของเธอให้เร็วขึ้น ใบหน้าของเธอตื่นตระหนก เมื่อมองใกล้ๆนอกจากผิวสีแทนของเธอแล้ว เราก็ยังสามารถเห็นสิวน้อยใหญ่มากมายที่รวมตัวกันราวกับมานัดกันก่อม็อบก็ไม่ปาน
 
เมื่อเห็นว่ากลุ่มเด็กชายตามมาใกล้ถึงตัว เด็กผู้หญิงก็เริ่มซอยเท้าถี่ขึ้นจนกลายเป็นวิ่ง ราวกับทางเดินของโรงเรียนคือลู่วิ่งแข่งของเธอ ท่ามกลางเสียงเชียร์ของผู้คนทั้งโรงเรียน แต่เป็นเสียงเชียร์ที่เธอ...ไม่อยากได้ยิน
 
“น้องเทืองไม่ต้องรีบ โรงอาหารยังไม่ปิด”
“น้องประเทืองวิ่งเร็วมากๆ สรุปแล้วเป็นผู้ชายยังไม่ได้แปลงเพศใช่มั้ย?”
“นี่น้องประเทือง วิ่งหรือกลิ้งนี่!!”
“น้องเทือง!.....”
“น้องประเทือง.....”
“น้อง.........”
 
เด็กผู้หญิงทิ้งกระเป๋า แล้วเอามือทั้งสองข้างอุดหูขณะที่ยังวิ่งต่อ พร้อมตะโกนอย่างสุดเสียงตลอดทาง
“ม่ายยยยยยยยยยยย.....ฉันชื่อปอเทืองโว๊ยยยยยยยย!”
…………………….
 
ติ้ด! ติ้ด! ติ้ด!
 
“ไอ้พวกเลว.....พวกแก......หา!...........อ้าว! ฝันนี่หว่า....เฮ้อ!”
 
ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมเสียงนาฬิกาปลุก ขณะที่ชุดนอนชุ่มไปด้วยเหงื่อ ไอ้ฝันบ้านี่มันจะหลอกหลอนกันมากไปแล้ว แต่เอาเข้าจริงมันก็มีความจริงอยู่ครึ่งหนึ่งนั่นแหละ
 
เพราะเด็กผู้หญิง อ้วน เตี้ย ดำ ขาสั้นใส่แว่นหนาเตอะในฝันคนนั้นก็คือตัวฉันเอง
 
แต่... เป็นตัวฉันเมื่อปีที่แล้วนะ ส่วนตัวฉันในตอนนี้พวกคุณต้องไม่เชื่อแน่ๆว่าจะเป็นเด็กสาวที่หน้าตาน่ารัก ผิวขาว เกลี้ยงเกลาและรูปร่างดี หมือนดาราวัยรุ่นในทีวี
 
อันนี้ฉันพูดจริงๆ  ไม่ได้โม้ ขนาดตัวฉันเองส่องกระจกทุกวันยังไม่ชินเลย
 
พวกคุณก็คงสงสัยกันละสิ ว่าทำไมเพียงแค่ 1 ปี ฉันถึงเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้  เดี๋ยวฉันจะเล่าเรื่องของฉันให้ฟัง แต่ต้องหลังจากอาบน้ำแล้วทำตามสัญญากับใครบางคนก่อนนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะต้องกลับไปอยู่ร่างเดิม
 
ก็ไม่ได้มีอะไรมาก แค่ตอนอาบน้ำแล้วต้องหยิบสบู่ ฉันต้องพูดประโยคหนึ่ง คิดซะว่ามันเหมือนกับการร่ายมนต์วิเศษบทหนึ่งแล้วกัน เพียงแต่มันเป็นบทร่ายมนต์ที่คุณอาจจะฟังออกเพราะเป็นภาษาไทย คนขวัญอ่อนอย่าตกใจ คนท้องอ่านข้ามไปและคนเล่นคุณไสยอย่าลบหลู่กัน...และเอิ่มมม..พอๆ เอาแค่นี้แหละ เตรียมตัวฟังกันนะ
 
……
…..
…..
ยัง....ยังไม่ได้ร่าย เพราะยังไม่ได้หยิบสบู่ อย่าเพิ่งใจร้อน เอาหล่ะ พร้อมแล้ว...หยิบสบู่แล้วนะ
.........1...2.....3.....
 
“อะไรดีบุ๋มก็ว่าดี สบู่เบนเนทยอดขายอันดับ 1 ติดต่อกัน 6 ปีซ้อน สูตรปาปาย่า...หอมฟุ้ง”
 
เฮ้อ! ทีนี้ก็จะได้อาบน้ำอย่างมีความสุขสักที
 
อะไรนะ! แอบโฆษณาแฝง!!
 
ก็บอกแล้วว่าต้องร่ายมนต์ ไม่งั้นจะต้องกลับร่างเดิม เพราะสัญญาไว้กับคนๆหนึ่ง
 
เอาน่า!นี่มันนิยายนะ เชื่อๆกันหน่อยแล้วกัน
 
...........................................
ก่อนอื่นก็ต้องขอแนะนำตัวกันก่อน ฉันชื่อ “ปอเทือง” ตอนนี้ชั้นเรียนอยู่ชั้น ม.4 เมื่อก่อนนี้ฉันเป็นเด็กต่างจังหวัด ฐานะปานกลาง อยู่กับแม่ที่เป็นครูโรงเรียนประถมแถวบ้านและยายที่เป็นเกษตรกร ส่วนพ่อกับตาเสียไปนานแล้ว ชื่อของฉันแม่เป็นคนตั้งให้เองตั้งแต่เกิด และก็โดนล้อตั้งแต่จำความได้
 
ที่โดนล้อก็เพราะความโด่งดังของเพลงๆหนึ่งที่พูดถึงสาวประเภทสองที่ชื่อ”ประเทือง” แถมตอนเด็กๆฉันยังอ้วนตัวใหญ่เหมือนเด็กผู้ชาย จนทุกคนเรียกว่า “เทือง” คำเดียว ไม่เว้นแม้กระทั่งยายกับแม่ของฉัน
 
“เทือง เอ๊ย! มากินข้าวลูก” นั่นเสียงแม่ฉันร้องเรียกดังมาจากในครัว
 
“เทือง เอ๊ย! ยายฝากเก็บแตงกวาที่ริมรั้วด้วยนะ ” นั่นเสียงยายฉัน ตอกย้ำชื่อกันเข้าไปอีก
 
“แม่! ยาย! หนูบอกตั้งหลายครั้งแล้วว่าให้เรียกเต็มๆว่าปอเทืองหรือจะเรียกสั้นๆก็ให้เรียกปอ ลูกแม่กับหลานยายเป็นผู้หญิงนะ ” ฉันพูดด้วยความงอนแม่กับยาย ขณะที่ยื่นแตงกวาให้แม่ไปล้าง
 
“อ้าว ยายลืม ก็เรียกเทือง มันออกเสียงง่ายดี” ยายตอบกลับขณะที่กำลังนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว
 
“ตกลงจะงอนแม่กับยายใช่ไหม งั้นไม่ต้องกินข้าว” แม่งัดไม้เด็ดออกมาสกัดความงอนของฉัน
 
“กินจ้า...” เจอไม้นี้ทีไรฉันต้องยอมแพ้แม่ทุกที ก็แหม! กับข้าวรสมือแม่ฉัน หอมลอยไปไกลเป็นกิโล ส่วนรสชาติก็ไม่ต้องพูดถึง ดูจากหุ่นอันอ้วนพีของฉันก็น่าจะยืนยันเรื่องความอร่อยได้
 
“แม่หนูถามหน่อย ทำไมตั้งชื่อหนูว่าปอเทือง?” ฉันเอ่ยถามแม่ ขณะที่มือกำลังสาละวนแย่งหมูทอดกับยายอยู่
 
“ก็คงต้องย้อนไปสมัยที่เพิ่งคบกับพ่อของแก” แม่วางช้อนลง ทำตาหวานซึ้งเหมือนนางเอกซีรีย์ แล้วมองไปนอกหน้าต่าง………..เอิ่มมม...
 
เอาล่ะ! ถ้ารอแม่เล่าน่าจะยาว เพราะนางไปวิ่งอยู่ในทุ่งลาเวนเดอร์แล้ว
 
เดี๋ยวฉันสรุปให้เลยดีกว่า…………….
 
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 20 กว่าปีที่แล้ว พ่อกับแม่ของฉันก็ได้พบกัน ตอนนั้นแม่เพิ่งเรียนจบปริญญาตรีใหม่ๆ ส่วนพ่อเป็นเกษตรกรจบแค่การศึกษาภาคบังคับซึ่งก็คือ ม.3 แล้วก็ทำนาของที่บ้าน
 
ความรักของพ่อกับแม่สมัยวัยรุ่นก็เหมือนพล็อตหนังไทยเรื่องหนึ่ง แม่เป็นคนสวยมีคนมาจีบมากมาย แต่ก็เจอกับตาของฉันที่หวงลูกสาวราวกับจงอางหวงไข่ ชอบเอาปืนลูกซองมาขัดเล่นหน้าบ้าน หนุ่มๆก็เลยไม่กล้า
 
พ่อฉันเป็นคนซื่อๆแต่ฉลาด พ่อรู้ว่าตาชอบดูพวกพระเครื่อง เลยไปขอพระเครื่องจากบ้านคนรู้จักบ้าง  ขอจากเจ้าอาวาสแถวบ้านบ้าง แล้วก็ทำทีมาขอความรู้จากตา แต่ไม่เคยแสดงให้เห็นว่ามาจีบแม่ ตาก็เลยวางใจ หลังจากนั้นก็เข้ามาหาตาทุกวันแล้วก็ค่อยๆ มีของมาฝากยายกับแม่
 
แหม! แผนการช่างร้ายกาจจริงๆ
 
นานวันเข้าพ่อก็จีบแม่ติด โดยมียายเป็นนาตาชา โรมานอฟ สายลับสาวที่คอยส่งข่าวเวลาตาไม่อยู่บ้าน หลังจากความรักสุกงอม ข่าวร้ายก็เกิดขึ้น
 
เพราะตา....กำลังจะส่งแม่ไปทำงานในกรุงเทพที่บริษัทของเพื่อน แต่แม่อยากเป็นครูสอนเด็กและไม่อยากแยกห่างจากพ่อ
 
เป็นครั้งแรกที่แม่ทะเลาะกับตา และสุดท้ายแม่ก็ยอมแพ้
 
ต้องไปทำงานที่กรุงเทพ
 
วันที่แม่ต้องเดินทางไปทำงานที่กรุงเทพ พ่อมาส่งที่ท่ารถ บขส. แล้วยื่นดอกไม้สีเหลืองดอกเล็กๆให้หนึ่งดอก แล้วพูดกับแม่ว่า
 
“ฉันไม่รู้ว่าจะได้เจอเธออีกเมื่อไหร่ และไม่รู้ว่าวันหนึ่งเธอจะเปลี่ยนไปหรือไม่ เพราะฉันมันคนบ้านนอกที่ไม่มีฐานะ คงจะสู้กับหนุ่มๆในกรุงเทพไม่ได้”
 
“ไม่ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ฉันก็จะเป็นเหมือนดอกปอเทืองดอกนี้ มันเป็นดอกไม้ที่ไม่มีค่า มันสวยและหอมสู้ดอกกุหลาบไม่ได้ แต่ไม่ว่าผืนดินที่บ้านของเรามันจะแห้งแล้งเพียงใด มันก็ยังจะพยายามเติบโตแม้รู้ว่าตัวมันไม่มีค่ากับใคร ”
 
“ฉันจะรอเธออยู่ที่นี่พร้อมดอกปอเทืองเหล่านี้ แม้ไม่รู้ว่า...คนที่ฉันรอจะเห็นคุณค่าของมันหรือไม่”
 
“ฉันก็จะยัง....คงรออยู่เช่นเดิม”
 
นั่นคือคำพูดที่พ่อพูดในวันนั้น
มันเป็นเหมือนประโยคบอกรักที่ไม่มีคำว่ารัก
คล้ายประโยคบอกลา ที่ไม่มีคำว่าลาก่อน
แต่มันคือประโยค ที่รวมทั้งรักและจากลาไว้ด้วยกัน
 
“การรอคอย”
 
ไม่มีคำตอบใดจากแม่ นอกจากน้ำตาที่ออกมาเอง และแม่ก็เดินทางจากพ่อมากรุงเทพและทั้งคู่...ก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย
 
เรื่องราวในชีวิตบางครั้งในความเลวร้าย ก็อาจมีความเลวร้ายกว่า
 
แต่เมื่อรวมกันกลับกลายเป็นเรื่องดี
 
นั่นคงเป็นเหตุผลที่แม่ตั้งชื่อชั้นว่า “ปอเทือง”
 
................................................................
 
*ปอเทือง (sunn hemp) เป็นพืชตระกูลถั่วชนิดหนึ่ง มีดอกสีเหลือง