ตอนที่ 35 ท่าเต้นแห่งปี
หลังจาก MV ของฉันได้รับความนิยม ท่าเต้นในเพลงนั้นก็กลายเป็นท่าเต้นแห่งปีไปแล้ว
 
ลูกเด็กเล็กแดง วัยรุ่น วัยทำงาน จนถึงผู้สูงอายุ ต่างเต้นตามได้หมด เรียกว่าถ้าใครเต้นไม่เป็น ก็ถือว่าเชย และนอกจากจะเป็นกระแสในประเทศแล้ว ท่าเต้นนี้ยังเริ่มลามไปไกลในอีกหลายประเทศทั่วโลก
 
เกือบทุกรายการมักจะถามถึงที่มาของท่าเต้นว่ามาจากไหน ฉันก็จะตอบไปว่า
 
“ตอนช่วงซ้อมเต้น หนูกับเพื่อนต้องไปรำไท่เก๊กทุกเช้ากับเหล่าอาม่าที่สวนสาธารณะค่ะ พอทำเพลงก็เลยอยากคิดท่าเต้นที่ผู้สูงอายุก็เต้นได้และได้ออกกำลังกายไปด้วย บวกกับการเป็นเด็กต่างจังหวัดก็เลยเอาการฟ้อนมาผสมลงไป จึงกลายเป็นท่าเต้นในเพลงค่ะ”
 
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงขนานนามท่าเต้นนี้ว่า “ฟ้อนไท่เก๊ก”
 
ในขณะที่เรื่องราวในชีวิตของฉันก็ดำเนินไปเรื่อยๆนั้น ฉันหารู้ไม่ว่าอีกด้านหนึ่งกำลังเริ่มเกิดคลื่นลูกเล็กๆ ที่จะกลายเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคตของฉัน
 
“หลินหลิน MV ของยัยปอร์เช่ได้รับความนิยมจนขึ้นอันดับหนึ่งแล้วนะ แต่ของเรายังอยู่ที่อันดับสามสิบห้าอยู่เลย” คุณคิมคิมผู้จัดการส่วนตัวของยัยหลินพูดขึ้น เมื่อเห็นอันดับชาร์ตเพลง
 
“หนูก็ทำเต็มที่แล้วนะคะ ใช้เงินตั้งเยอะซื้อเวลาออกรายการ แถมซื้อตัว Startuber ดังๆมาเชียร์อีก ทางค่ายกับคุณคิมคิมไม่ได้ช่วยอะไรหนูเลย จะเอาอะไรนักหนา!” ยัยหลินพูดด้วยความโมโห
 
“ทางค่ายช่วยทุกคนเท่ากัน แต่พี่เองก็ช่วยใช้คอนเนคชั่นกับคนในวงการให้ช่วยเชียร์เพลงของหลินหลินเหมือนกันนะ” คุณคิมคิมพูดด้วยความน้อยใจ
 
“ช่างมันเถอะค่ะ! ตอนนี้คะแนนของเราเป็นอย่างไรบ้างคะ?” ยัยหลินเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
 
“ในบรรดาผู้เข้ารอบที่สองจำนวนยีสิบห้าคน จะคัดเหลือแค่สิบคน ซึ่งคะแนนโหวตของเราอยู่อันดับที่สิบสาม เราต้องพยายามในการทัวร์มินิคอนเสิร์ตในช่วงสามเดือนต่อจากนี้” คุณคิมคิมอธิบาย
 
“เรื่องจัดมินิคอนเสิร์ต เดี๋ยวหนูให้ทางบริษัทคุณลุงช่วยจัดการได้ แล้วก็ลงสื่อเพิ่มเพื่อดึงคน ขอเพียงเข้ารอบสุดท้ายได้ หนูก็น่าจะมีโอกาสชนะในการประกวด”ยัยหลินพูดอย่างมั่นใจ
 
“ทำไมน้องหลินหลินถึงได้มั่นใจว่าจะสามารถชนะประกวดได้คะ?” คุณคิมคิมตาลุกวาวและเริ่มสนใจ
 
“หากเข้ารอบสุดท้ายต้องแต่เพลงใหม่อีกครั้ง และทำการแสดงสด ครั้งนี้หนูจะไม่ใช้บริการของค่ายเพราะคุณพ่อหนูได้ติดต่อกับทีมทำเพลงของค่ายใหญ่ในอเมริกามาทำเพลงให้ รับรองว่าเพลงของหนูต้องขึ้นอันดับหนึ่งและชนะแน่นอน” ยัยหลินยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์
 
“หูยย! เป็นแผนที่ดีมากค่ะน้องหลินหลิน พี่คิมคิมดีใจมากค่ะ ที่ได้มาเป็นผู้จัดการส่วนตัวของน้อง” คุณคิมคิมเข้าประจบยัยหลินเป็นการใหญ่ พร้อมพูดเบาๆกับตัวเองว่า
 
“ยัยเจนิเฟอร์! ครั้งนี้แกแพ้แน่ๆ หุหุ!”
 
...............
 
กำหนดเวลาของการปล่อย MV คือระยะเวลาสามเดือน หลังจากนี้อีกสามเดือนจะเป็นการจัดมินิคอนเสิร์ตซึ่งขินอยู่กับผู้เข้าประกวดเองว่าจะจัดกี่ครั้งและรูปแบบไหน โดยทางค่ายจะมีงบประมาณให้เท่ากันทุกคน
 
“พี่สาวซาตี้แล้วเราจะจัดมินิคอนเสิร์ตกันเมื่อไหร่นี่?” ฉันถามพี่สาวซาตี้ขระนอนหมดแรงอยู่บนที่นอนเพราะตารางงานที่แน่นเอี๊ยด
 
“พวกเราจะเริ่มเดือนหน้า เพราะตอนนี้คิวของเจ้าเต็มหมดแล้ว” พี่สาวซาตี้ที่นอนข้างๆพร้อมมียาดมคาที่จมูกตอบกลับมา ด้วยท่าทางที่อ่อนเพลียเช่นกัน
 
“เป็นไอดอลนี่มันเหนื่อยมากกว่าที่คิดอีกนะนี่ เวลาว่างก็ไม่มี นอนก็น้อย แถมยังต้องเรียนไปด้วยอีก ขนาดหนูยังไม่ดังมากยังเหนื่อยขนาดนี้ ไม่รู้ว่าคนที่เค้าโด่งดังทำไปได้อย่างไรเนอะ?” ฉันพูดขึ้นลอยๆ
 
“ยัยหนู...จากประสบการณ์ที่ข้าเจอผู้คนมามากมาย บอกได้เลยว่ามนุษย์อย่างพวกเจ้าที่ประสบความสำเร็จ พวกเขาใช้ชีวิตไม่เหมือนอย่างที่พวกเจ้าคิดหรอก พวกเขาทุ่มเทและตั้งใจเกินกว่าที่เจ้าจะจินตนาการได้”
 
“บางคนล้มเหลวมาเป็นพันครั้ง แต่มีสิ่งเดียวที่พวกเขาเหมือนกัน รู้ไหมว่าอะไร?” พี่สาวซาตี้ถามฉันขณะเอาแผ่นกอเอี๊ยะแปะตามขา
 
           
“อะไรหรือคะ! ที่พวกเขาเหมือนกัน?” ฉันถามด้วยความสงสัย
 
“ไม่ว่าปัญหาของพวกเขาจะมากมายแค่ไหน พวกเขาก็จะไม่หนีมันและสู้กับมัน ด้วยความมุ่งมั่นและความพยายาม” พี่สาวซาตี้ตอบด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่งเช่นเคย
 
น่าแปลกที่บางทีประโยคง่ายๆไม่กี่คำ กลับทำให้เรามีพลังงานอะไรบางอย่างได้ เมื่อฟังจบฉันก็รีบลุกขึ้นทันที
 
“อ้าว! จะไปไหนนี่?” พี่สาวซาตี้ถามบ้าง
 
“กำลังมุ่งมั่นและความพยายาม ด้วยการมาคิดรูปแบบมินิคอนเสิร์ตของตัวเองไง!” ฉันตอบพี่สาวซาตี้ พร้อมหยิบกระดาษและปากกามีเขียนไอเดียเพิ่มเติม
 
ก็หวังว่า...ความมุ่งมั้นและพยายามของฉันจะทำให้ประสบความสำเร็จกับคนอื่นบ้างละนะ เพี๊ยง!
 
หลังจากได้ไอเดียแล้วฉันก็โทรชวนสามสาวตระกูล ม. ม้า มาช่วยเตรียมงานมินิคอนเสิร์ต ซึ่งพวกเราวางแผนไว้ว่าจะจัดทั้งหมดแค่สามครั้ง
 
“ปอ มันจะไม่น้อยไปเหรอ ฉันเห็นผู้เข้าประกวดคนอื่นเค้าจัดกันทุกอาทิตย์เลยนะ?” ยัยมินท์สาวจอมพลังถามขึ้น
 
“ใช่! ด้วยงบประมาณที่ทางค่ายให้รวมกับค่าตัวพรีเซนเตอร์ของสินค้าที่ได้รับแบ่งจากค่าย แกก็จัดเพิ่มได้สบายๆเลยนะ” ยัยหม่อนสาวเนิร์ดเสริม
 
“จัดกี่ครั้งก็ตามใจแก แต่ขอของกินในงานเยอะๆหน่อยนะ”ยัยไหม สาวจอมกินไม่สนเรื่องจำนวน สนแต่ของกิน
 
“ตอนนี้คะแนนโหวตของฉันอยู่อันดับหนึ่ง จัดเพียงแค่สามครั้งก็น่าจะเพียงพอที่จะให้คะแนนไม่หล่นลงไปต่ำกว่าอันดับสิบ เพราะอย่างไรก็ได้เข้ารอบสุดท้าย แต่หากฉันกระจายเงินออกไป การจัดในแต่ละครั้งก็จะเกิดประโยชน์น้อยเกินไป” ฉันอธิบายกับเพื่อนๆ
 
“แต่แกมั่นใจใช่ไหม ว่าอยากจัดมินิคอนเสิร์ตแบบนี้ มันดูแปลกกว่าชาวบ้านเขานะ?” ยัยมินท์ถามต่อ
 
“มั่นใจสิ! บางทีประเทศนี้อาจต้องการไอดอลอย่างฉันมาบุกเบิกแนวทางใหม่ก็เป็นได้” ฉันพูดแล้วยิ้มกับเพื่อนๆ
 
“โอเค! งั้นพวกเราทำตามแผนนี้!” สามสาวประสานเสียง จากนั้นพวกเราก็เตรียมงานเพื่อให้ทันกำหนดการ
 
............................
 
เย็นวันนั้น ขณะที่ยัยหลินกำลังอยู่ที่บ้าน ก็มีข้อความใหม่เข้ามาในอีเมล์ส่วนตัว
 
ติ๊ง! ติ๊ง!
 
“เอ๊ะ! ใครส่งเมล์อะไรมาที่เมล์ส่วนตัวของฉันนะ ชื่อไม่คุ้นเลย?” ยัยหลินกดดูที่โทรศัพท์มือถือตัวเอง ก่อนอ่านหัวข้ออีเมล์ที่ทำให้อีเมล์นี้กลายเป็นอีเมล์สำคัญในทันที
 
“ผมมีข้อมูลที่จะเปิดโปงอดีตของปอร์เช่ รับรองว่าคุณต้องสนใจแน่ๆ โปรดติดต่อกลับที่หมายเลข ..................”
 
ยัยหลินหลังจากอ่านอีเมล์ก็ไม่รอช้า โทรศัพท์หาหมายเลยปลายทางทันที จากนั้นก็ใช้เวลาคุยเกือบสองชั่วโมงจึงวางสาย
 
“ยัยปอร์เช่! ฉันก็ว่ามันแปลกๆตั้งแต่ไปเที่ยวที่บ้าน คราวนี้แหละ! แกพังแน่ๆ! ฮ่าๆๆๆ!”
ยัยหลินหัวเราะอย่างสะใจ
 
.....................................