ตอนที่ 51 อยากรู้อะไรอีกไหม?
“พี่โอม! น้องปอร์เช่จะไหวไหมนี่?” พี่เบียร์ถามพี่โอมขณะที่เอาใจช่วยฉัน
 
“ตอนนี้คงบอกอะไรไม่ได้ครับ! อยู่ที่น้องปอร์เช่คนเดียวแล้ว!” พี่โอมตอบพร้อมกับมองมาบนเวที
 
พอพี่สาวซาตี้พูดขอคำถาม นักข่าวต่างก็แย่งกันพูดกันเต็มไปหมด แต่ก็มีนักข่าววัยกลางคนผู้หนึ่งที่เจนสังเวียน ยกมือด้านหน้าและตะโกนถามด้วยเสียงที่ดังกว่าคนอื่นว่า
 
“เรื่องไปศัลยกรรมที่เกาหลี เป็นเรื่องจริงใช่ไหมคะ?” เมื่อถามเสร็จทุกคนในห้องก็เงียบเสียงลง รอฉันตอบคำถามนี้
 
ฉันนั่งนิ่งสักพัก ก่อนหยิบไมค์ขึ้นมาพูด
 
“ตั้งแต่เด็กหนูไม่เคยศัลยกรรม ซึ่งหากไม่เชื่อพี่ๆนักข่าวสามารถไปตรวจสอบได้ว่าช่วงเวลานั้น มีชื่อหนูบินออกนอกประเทศหรือเปล่า”
 
“รูปที่แชร์กันอยู่ในตอนนี้เป็นรูปจริงหรือไม่คะ?” นักข่าวอีกคนถือโอกาสถามต่อ
 
“เป็นรูปจริงค่ะ!” ฉันตอบด้วยความจริง
 
ทันใดนั้นทั้งห้องก็เต็มไปด้วยเสียงฮือ!  ไม่นานก็เต็มไปด้วยคำถาม
 
“เป็นไปได้หรือที่ไม่ได้ไปศัลยกรรมแต่เปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้?”
“ทำไมถึงไม่ยอมรับความจริง ว่าไปทำศัลยกรรมล่ะคะ?”
“ถ้าไม่ได้บินไปเกาหลี! แสดงว่าทำที่โรงพยาบาลในเมืองไทยใช่ไหมคะ?”
 
 เสียงคำถามมากมายจนฟังไม่ได้ศัพท์ แต่แล้วทุกคนก็เงียบเสียงลง เมื่อมีคำถามจากเด็กหนุ่มคนหนึ่ งดังขึ้นมาจากหลังห้อง
 
“หรือคุณปอร์เช่ไปทำพันธสัญญากับปิศาจมา จึงเปลี่ยนเป็นคนใหม่ได้เร็วขนาดนี้!” นักข่าวทุกคนที่ถามคำถามต่างหันไปมองตามเสียง ก่อนพบว่าเป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นนายต้นกล้านั่นเอง!
 
“ผมคือเพื่อนของปอร์เช่ตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมต้นนะครับ ชื่อต้นกล้า ผมยืนยันได้เลยว่ารูปนั้นเป็นรูปจริงตอนสมัยก่อน และผมเองทนไม่ได้ที่เพื่อนของผมหลอกลวงผู้คนทั่วประเทศ วันนี้จึงต้องมาเปิดโปงเรื่องราวในอดีตเพื่อให้เกิดความกระจ่าง” นายต้นกล้าแนะนำตัวเอง ทำให้ตอนนี้ทุกคนเพ่งความสนใจไปที่หลังห้องแทนชั่วคราว
 
“น้องต้นกล้าช่วยเล่าเรื่องในอดีตให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ?”นักข่าวที่อยู่ใกล้ถือดอกาสถามนายต้นกล้าทันที
 
“ได้สิครับ! สมัยก่อนเพื่อนผมคนนี้ไม่ได้ชื่อปอร์เช่ แต่ชื่อปอเทือง! คนเค้ารู้กันหมดแหละครับ ปอเทืองในตอนนั้น อ้วน เตี้ย ดำ สิวเต็มหน้า และสวมแว่นหนาเตอะจนถูกทุกคนล้อ”
 
“หลังจากเรียนจบ ม.3 ไม่นานเธอก็เปลี่ยนชื่อแล้วรูปร่างก็กลายเป็นอย่างที่เห็น ปอเทือง! วันนี้เธอคงต้องมีคำตอบให้ทุกๆคนแล้วล่ะ! ว่าที่เปลี่ยนไปแบบนี้เพราะไปทำศัลยกรรมหรือทำพันธสัญญากับปิศาจกันแน่!” นายต้นกล้าพูดจบก็ชี้นิ้วมาที่หน้าเวที เหมือนโยนคำถามมาให้ฉันตอบ
 
ตอนนี้ในห้องเงียบสนิท ราวกับกำลังรอคำตอบที่ยิ่งใหญ่!
 
ฉันหยิบไมค์ขึ้นมาอย่างช้าๆ แล้วพูดออกมาว่า
 
“น่าแปลกใจนะคะ ที่สมัยนี้ยังมีคนเชื่อเรื่องการทำพันธสัญญากับปิศาจอยู่ หนูว่าพี่ๆนักข่าวก็คงไม่เชื่อเรื่องนี้จริงไหมคะ!” ฉันเริ่มต้นด้วยการดิสเครดิตนายต้นกล้าก่อนเป็นอันดับแรก ไม่นานเสียงซอกแซกก็กลับมาอีกครั้ง
 
“ก็จริงนะ! เรื่องทำพันธสัญญาอะไรนั่น ดูเพ้อเจ้อมาก”
“สงสัยเด็กคนนี้จะดูหนังการณ์ตูนมากเกินไป”
“อุตส่าห์นึกว่ามีคนมาช่วยแฉแล้ว! แบบนี้สงสัยจะไม่ได้เรื่อง!”
 
นักข่าวส่วนใหญ่ดูไม่ค่อยอยากเชื่อนายต้นกล้าเท่าไหร่และมีไม่น้อยที่คิดว่านายต้นกล้าสติไม่ดี
 
“ส่วนเรื่องของการศัลยกรรม หนูยังยืนยันคำเดิมนะคะว่าไม่ได้ไปทำที่ไหน แต่ที่หนูสวยขึ้นก็เพราะ....” ฉันทิ้งท้ายประโยคให้ดูน่าสนใจและหยิบของสิ่งหนึ่งขึ้นมาวางบนโต๊ะ
 
“นี่แหละค่ะ! ของที่ทำให้หนูเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้” เมื่อนักข่าวทุกคนเห็นของที่วางอยู่บนโต๊ะก็อ้าปากค้าง ก่อนจะอุทานแล้วพูดขึ้นมาพร้อมกันว่า
 
“สบู่เบนเนท!!!!!!!”
 
“ใช่ค่ะ! สบู่เบนเนทปาปาย่าคือเคล็ดลับความสวยของหนู นอกจากจะหอมฟุ้งติดตัวแล้วยังช่วยทำให้สิวหายจนหมดและก็ขาวขึ้นอีกด้วย ยืนยันได้ว่าของเขาดีจริงด้วยยอดขายอันดับหนึ่งติดต่อกัน 6 ปีซ้อนค่ะ” ฉันหยิบก้อนสบู่ขึ้นมาแล้วพูดถึงสรรพคุณ
 
วิธีการของฉันในตอนนี้คือการเล่นใหญ่ ตามหลักจิตวิทยาอย่างหนึ่ง สมัยก่อนเวลามีข่าวไม่ดีเกิดขึ้นกับคนที่มีชื่อเสียง คนเหล่านั้นก็จะหาอย่างอื่นที่น่าเหลือเชื่อมาบอกแทนเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นเดิม ทำให้ผู้คนลืมประเด็นเรื่องเก่าแล้วพูดถึงประเด็นใหม่แทน
 
ข่าวไม่ดีเหล่านั้นก็จะหายไปเร็วขึ้น! นี่อุตส่าห์ไปค้นคว้าเรื่องนี้เลยนะนี่!
 
“เป็นไปไม่ได้! สบู่ก้อนเดียวจะทำให้คนเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้!” นักข่าวคนหนึ่งไม่เชื่อฉัน
 
เอาล่ะ! แผนสองต้องมาแล้ว!
 
“หนูไม่ได้ใช้สบู่เบนเนทปาปาย่าแค่ไม่กี่วัน แต่หนูใช้มานานแล้ว ผู้คนเลยไม่ค่อยได้สังเกตว่า ผิวของหนูค่อยๆขาวและสิวก็หายไป แน่นอนว่าสบู่เบนเนทอย่างเดียวอาจไม่สามารถช่วยให้หนูเปลี่ยนแปลงได้ขนาดนี้ เพราะหนูก็ต้องมีวินัยออกกำลังกายและทานอาหารสุขภาพที่มีประโยชน์อย่างสม่ำเสมอ”
 
“ยิ่งช่วงวัยรุ่น ร่างกายจะเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วทำให้ตัวของหนูสูงขึ้นและเริ่มดูดีจนเป็นแบบทุกวันนี้ หากไม่เชื่อวันนี้หนูมีรายงานทางการแพทย์และเคสของเด็กผู้หญิงอีกหลายคนที่สามารถเปลี่ยนตัวเองในช่วงเวลาไม่นานได้” เมื่อฉันพูดจบก็มีภาพรายงานการวิจัยและการเปลี่ยนแปลงของเด็กสาววัยรุ่นประเทศต่างๆ ให้ทุกคนในห้องได้ดูกัน
 
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะมันมีเคสแบบนี้จริงๆ! เด็กสาวบางคนที่เคยตัวเตี้ย แต่ออกกำลังกายและทานอาหารที่มีประโยชน์ภายในเวลาไม่นานก็สูงขึ้นได้เกือบยี่สิบเซนติเมตร
 
ซึ่งเรื่องนี้ก็เกี่ยวกับฮอร์โมนของแต่ละคนด้วย แต่ว่าฉันไม่ได้พูดออกไป ฮ่าๆๆ
 
หลังจากดูข้อมูลที่ฉายบนจอจนจบ ตอนนี้นักข่าวทุกคนก็เงียบไม่มีคำถามอะไรขึ้นมาอีก
“ตอนนี้ทุกคนคงรู้แล้วว่า ที่หนูเปลี่ยนแปลงมาเป็นแบบนี้ได้เพราะอะไร แต่สิ่งที่ทุกคนควรรู้มากกว่าเดิมก็คือสังคมเราตัดสินกันที่หน้าตามาตลอด หนูถูกบูลลี่มาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งจบ ม.3 ทั้งๆที่ไม่เคยว่าใครหรือทำตัวไม่ดีเลย การถูกบูลลี่มันกลายเป็นฝันร้ายของหนูจนทุกวันนี้ นั่นคือสาเหตุที่หนูตั้งใจในการที่อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเองมากกว่าคนอื่นๆ”
 
“ในขณะที่หนูก้าวข้ามอดีตไปแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ก็ยังขุดคุ้ยเรื่องอดีตของหนูและนินทากันอย่างสนุกปาก ทั้งโลกออนไลน์และนักข่าว หนักกว่านั้นคือการถูกคุกคามไปถึงที่บ้านจนยายของหนูต้องล้มป่วย ตอนกลับบ้านมีป้ายติดขับไล่ให้แม่กับยายของหนูออกไปจากหมู่บ้าน”
 
“หนูไปหลอกลวงพวกคุณตรงไหน และเคยทำอะไรไม่ดีกับพวกคุณไหม ทำไมถึงต้องมาทำลายชีวิตคนๆหนึ่งรวมถึงครอบครัวของเขาด้วยการบูลลี่ด้วย! ” ฉันพูดด้วยเสียงสั่นเครือเหมือนจะร้องไห้
 
ตอนนี้ภายในห้องทั้งหมดเงียบมากกว่าเดิม นักข่าวหลายคนก้มหน้าลงเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างได้หลังจากที่ฉันพูดออกไป ยกเว้นก็แต่.....
 
“ไม่จริงๆ! ปอเทืองเธอโกหก! ทำไมไม่บอกทุกคนไปว่าเธอไปทำพันธสัญญากับซาตามมา ทำไม!ๆๆ” นายต้นกล้าตะโกนอย่างคลุ้มคลั่งราวกับคนบ้า แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนตอนแรก เพราะทางค่ายเพลงได้ให้ รปภ. เอาตัวนายต้นกล้าออกไป ท่ามกลางเสียงโวยวายของนายต้นกล้าที่ตะโกนโหวกเหวกตลอดทาง
 
“แล้วเรื่องการประกวดล่ะครับ น้องปอร์เช่จะปล่อยเพลงออกมาเมื่อไหร่และจะหาศิลปินมาร่วมแสดงรอบสุดท้ายทันไหมครับ” นักข่าวคนหนึ่งเปลี่ยนประเด็นคำถามบ้าง
 
“เรื่องของเพลงและศิลปิน หากไม่ทันเวลาหนูก็ต้องยอมรับค่ะ เพราะปัญหาเรื่องร้ายๆที่เกิดขึ้นทำให้หนูไม่ได้ติดต่อกับทางค่ายเอง แต่ถึงจะไม่ทันหนูก็จะขึ้นร้องเพลงในรอบสุดท้ายแน่นอนค่ะ”
 
“เพราะตอนนี้! เหตุผลที่หนูต้องขึ้นร้องเพลงในรอบสุดท้ายไม่ได้เกี่ยวกับตัวหนูคนเดียวอีกแล้ว"
 
"แต่เป็นเพราะ....หนูไม่อยากให้แฟนคลับและคนที่สนับสนุนหนูตั้งแต่เริ่มแรก....ต้องผิดหวังค่ะ!”
 
ฉันพูดปิดท้ายและยุติการแถลงข่าวทันที!
 
.........................