การเปลี่ยนเส้นทางอนาคตของคนเรานั้นมีหลากหลายเหตุผลและหนึ่งในนั้นก็คือ "ความรัก" ซึ่งตอนนี้เส้นทางชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปเพราะผู้หญิงคนหนึ่งเช่นกัน
“พ่อ! ทำไมพ่อถึงเลือกเรียนเกษตรล่ะ หนูไม่เคยเห็นพ่อสนใจเรื่องนี้เลย?” น้องมีนถามผมขณะที่เราทั้งคู่เดินจูงมือกันอยู่
“บางทีตอนนั้นมันเป็นเรื่องของทิฐิน่ะ ถึงพ่อจะบอกว่าอยากเป็นกระเป๋ารถเมล์ แต่เอาจริงๆก็รู้ว่าอาชีพนี้คงไม่เหมาะกับพ่อ ที่ทำไปก็เพราะพ่ออยากเอาชนะขิงเท่านั้น และทำให้ขิงเห็นว่าคนที่เรียนไม่เก่งอย่างพ่อก็มีอนาคตได้ ในแบบที่ตัวเองเป็น”
“ก็เลยเลือกเรียนเกษตร โดยทิ้งความฝันที่อยากเป็นนักกฎหมายน่ะเหรอ?” น้องมีนถามด้วยแววตาที่ใสซื่อของเด็ก
“ก็ใช่นะ! แต่ตอนนั้นพ่อเองก็ไม่รู้หรอกว่าที่จริงแล้วตัวเองอยากเป็นอะไร ตอนเลือกเรียนกฎหมายอาจเพราะเห็นในหนังว่ามันเท่ห์ดี แต่ความเป็นจริงมันไม่ได้เป็นกันง่ายๆ ยิ่งทะเลาะกับขิงก็ยิ่งทำให้รู้ว่าพ่อคงไม่เหมาะที่จะอยู่ในกฎระเบียบมากนัก เลยเลือกเรียนเกษตรน่ะ” ผมอธิบายให้น้องมีนฟัง
พอได้ย้อนเวลากลับมาในสมัยก่อน ทำให้ผมรู้ความจริงอย่างหนึ่งของงานในแต่ละยุคสมัยว่า แต่ละยุคมักจะมีเทรนด์ของอาชีพที่ไม่เหมือนกัน
ยุคที่ผมอยู๋ในช่วงวัยรุ่นนี้ทั้งผู้ใหญ่และเด็กๆรู้จักอาชีพไม่มาก ส่วนใหญ่จะรู้จักจากแบบเรียนและคำสอน ยุคนี้ส่วนใหญ่จึงอยากให้ลูกหลานรับราชการ เพราะมีอำนาจและมั่นคงเนื่องจากผู้คนในสังคมส่วนใหญ่เป็นภาคเกษตรกร จึงมองภาพของข้าราชการไว้สวยหรู
ผมเองตอนที่เลือกเรียนเกษตรและบอกกับที่บ้าน ก็ทำให้ที่บ้านตกใจเหมือนกัน ถึงแม้ว่าพ่อและแม่จะเป็นชาวสวน
“ร้อยวันพันปีไม่เห็นมันจะช่วยงานในสวน จะไปรอดไหมนี่!” พ่อของผมแอบกระซิบกับแม่
“นั่นสิ! ก่อนหน้านี้ก็อยากเป็นนักกฎหมายตอนนี้อยากเป็นนักเกษตร พรุ่งนี้อาจเปลี่ยนอีกก็ได้นะพี่” แม่ผมแสดงความคิดเห็น
“ก็ดีนะพี่! อย่างน้อยพี่เรียนจบก็กลับมาช่วยพ่อทำสวนที่บ้านได้ หรือไม่ก็เป็นเกษตรอำเภอที่บ้านเรา เท่ห์ระเบิดไปเลย!” น้องสาวผมเป็นคนเดียวที่เห็นดีเห็นงามกับความคิดนี้
พอได้ยินคำว่า “เกษตรอำเภอ” พ่อกับแม่ก็คิดขึ้นได้ว่าอาชีพนี้จะช่วยเป็นหน้าเป็นตาของตระกูลได้เหมือนกัน จึงเริ่มสนับสนุนความคิดของผม
แหม! ก็เพราะตอนนั้นพระเอกในหนังหลายคนก็เป็นเกษตรอำเภอ ทำให้เกษตรอำเภอเป็นอาชีพที่เท่ห์ไม่หยอกเหมือนกัน
ส่วนตัวผมเองในตอนนั้น! ไม่ได้นึกถึงการเป็นเกษตรอำเภอหรือรักในการทำเกษตรเลย คิดอย่างเดียวว่าอยากพิสูจน์ตัวเองให้ขิงเห็นก็เท่านั้นเอง
ในตอนสอบเอ็นทรานซ์ ผมจึงเลือกมหาวิทยาลัยด้านเกษตรแห่งหนึ่ง ย่านบางเขน ซึ่งอาจเป็นโชคดีที่คะแนนสอบของคนที่เลือกคณะนี้ไม่สูงมากหรือไม่ก็ผลการติวหนังสือกับขิงได้ผลดีเกินไป
ทำให้ผมสอบติด....และได้เรียนเกษตรสมใจ!
.............................
“แล้วพ่อไม่คิดถึงแม่ขิงเหรอ หนูว่าแค่ทะเลาะกันนิดหน่อย แค่ไปง้อก็ดีกันแล้วนะ ไม่เห็นต้องเลิกกันเลย” น้องมีนกระตุกแขนผมแล้วถาม ขณะที่เรากำลังเดิน
“คิดถึงสิ! ไม่ว่าจะเป็นตัวพ่อตอนนั้นหรือตอนนี้” ผมมองหน้าน้องมีนแล้วยิ้ม
“แต่การตัดสินใจและการกระทำบางอย่างมันย้อนกลับไปไม่ได้ ไม่แน่นะ! หลังจากดูความรักในอดีตครบทั้งห้าคนแล้ว บางทีพ่ออาจจะย้อนกลับไปทำให้เหตุการณ์ครั้งนั้นมันดีขึ้นก็ได้” ผมพูดกับน้องมีนแล้วพาเดินต่อ
หลังผ่านเหตุการณ์ย้อนความรักรอบที่แล้ว ผมและน้องมีนก็สนิทกันมากขึ้น ดูท่าทางแล้วน้องมีนเองก็ตื่นเต้นเหมือนกันว่าผมจะเลือกผู้หญิงคนไหนเป็นแม่ของเธอในอนาคต
ในที่สุดเราทั้งสองคนก็ถึงคณะที่ผมเรียน พอได้มองเห็นอาคารเรียนหลังเดิมท่ามกลางต้นไม้เขียวขจีอีกครั้ง ทำเอาความทรงจำและความรู้สึกเก่าๆของผมหลั่งไหลเข้ามามากมาย
ตอนนี้ที่ลานหน้าคณะของผมกำลังทำการรับน้องกัน แน่นอนว่าตอนนั้น ระบบรับน้องแบบโซตัสได้เข้ามาเรียบร้อยแล้ว
“ร้องเสียงดังๆหน่อย! ไม่ได้กินข้าวกันมาหรือไง ใครร้องเสียงเบาไปวิ่งรอบสนามหนึ่งรอบแล้วกลับมาร้องใหม่!” พี่ว๊ากคนหนึ่งที่เป็นคนคุมกิจกรรมตะโกนขึ้น เพื่อให้น้องใหม่ร้องเพลงคณะดังขึ้น
พี่คนนี้ก็คือ “พี่ชัย” รุ่นพี่ปีสอง ที่ตอนหลังสนิทกับผมมาก
“พ่อ! ทำไมพี่คนนั้นต้องดุขนาดนี้ด้วย?” น้องมีนชี้ไปที่พี่ว๊ากคนนั้น
“อันนี้เป็นการรับน้องน่ะ เป็นเหมือนขั้นตอนการรับสมาชิกใหม่ เด็กมหาวิทยาลัยเชื่อว่าระบบโซตัสจะทำให้รู้จักเคารพผู้อาวุโสและรู้จักแรงกดดัน เพราะเมื่อจบไปจะเจอแรงกดดันจากการทำงานมากกว่านี้”ผมอธิบาย
“โห! ฟังดูดีนะนี่ สงสัยคนที่จบไปต้องกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งมากแน่ๆ” น้องมีนตาโต
“นั่นเป็นแค่แนวคิดที่อ้างกันมาน่ะ เพราะเอาเข้าจริงๆในสังคมมันมีแรงกดดันมากมายที่ระบบแบบนี้ไม่ได้สอน แถมการรับน้องมันเป็นการลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และใช้เพื่อควบคุมผู้คนมากกว่า” ผมชี้แจงความเป็นจริงของระบบนี้ให้น้องมีนฟัง
ในยุคปัจจุบันที่ผมนอนป่วยอยู่ สังคมเริ่มต่อต้านการรับน้องด้วยระบบโซตัสแล้ว เพราะหลายๆที่ทำเกินกว่าเหตุและทำให้รุ่นน้องเสียชีวิต ที่สำคัญหลายสิบปีที่ผ่านมา ก็ได้พิสูจน์แล้วว่าการรับน้องไม่ได้มีส่วนช่วยให้ชีวิตการทำงานราบรื่นขึ้น เพราะพี่ว๊ากที่คุมการรับน้องก็ยังตกงาน
“นั่นไง! พ่ออยู๋โน่น หนูเห็นแล้ว” น้องมีนชี้นิ้วไปทางผมที่กำลังนั่งอยู่ในแถว ที่ตอนนี้ใบหน้าเต็มไปด้วยสีและถูกผ้าผูกแขนติดกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ใบหน้าเลอะสีไม่แพ้กัน
“เอ๊ะ! ทำไมพ่อถึงถูกผูกแขนกับผู้หญิงด้วยล่ะ” น้องมีนถามขึ้นอย่างสงสัย
“นั่นคือคู่บัดดี้ของพ่อเอง! ตอนรับน้องเค้าจะจับคู่ให้เป็นเหมือนคู่หูตอนเรียนน่ะ” ผมอธิบายและคิดถึงคู่บัดดี้ของผมคนนี้มาก
ตอนนี้ถึงคราวที่ผมและคู่บัดดี้ต้องออกไปพรีเซนต์ชื่อตัวเองและทำท่าทางประกอบแบบตลกๆข้างหน้าแถว แต่เนื่องจากคู่บัดดี้ของผมลุกเร็วเกินไปข้อมือของเราทีผูกติดกันจึงรั้งเธอให้ล้มลงจนกระโปรงเปิด
“โห! สีเหลืองขมิ้นด้วยว่ะพวกเรา ไม่ต้องรับนะน้องปิดกระโปรงก่อนพวกพี่ไม่อยากเป็นตากุ้งยิง” เหล่ารุ่นพี่ที่ยืนรับน้องอยู่ เห็น กกน.ของเธอแล้วก็แซว ทำเอาผมรู้สึกไม่ดีที่ทำให้เธอต้องอับอาย
คู่บัดดี้ของผมรีบลุกขึ้นแล้วดึงผมให้ลุกขึ้นมาด้วย ก่อนทำสิ่งที่ทุกคนต้องตกใจ
“มองอะไร! ไม่เคยเห็นกันหรือไง ก็ออกมาจากที่เดียวกันไม่เห็นต้องอายเลย! แล้วไอ้พวกรุ่นพี่นี่นะ! ถ้าน้องสาวแกหรือพี่สาวแกกระโปรงเปิด จะแซวแบบนี้มั้ย! แทนที่จะเข้ามาช่วยหรือแก้ตัวให้น้องกลับมากหัวเราะเยาะกัน ถ้าชอบดูนัก! ก็กลับไปดูของแม่พวกแกไป!”
บัดดี้ของผมชี้หน้าด่ากราด จนทุกคนที่อยู่ตรงนี้เงียบสงัด ไม่มีใครกล้าพูดสักคน!
“สุดยอดเลยพ่อ! พูดแป๊บเดียวเงียบกันหมดเลย บัดดี้พ่อคนนี้ชื่ออะไรน่ะ หนูชอบๆ!” น้องมีนทำท่าตื่นเต้นและชอบใจเมื่อเห็นภาพดังกล่าว
“เอิ่มม! คำที่ไม่สุภาพก็อย่าจำนะลูกมันไม่ดี!” ผมยิ้มแห้งๆก่อนเอามือที่ปิดหูน้องมีนออก เพราะไม่อยากให้ได้ยินคำด่าเมื่อกี้ แต่คิดว่าไม่ได้ผล เพราะเสียงเมื่อครู่ดังระดับลำโพงงานวัดดีๆนี่เอง!
“เธอชื่อขวัญ! แต่หลังจากเหตุการนี้ คนทั้งคณะจะเรียกเธอว่า “ขมิ้น” และหนูต้องชอบเธออยู่แล้ว เพราะเธอเป็นว่าที่แม่ของหนูในอนาคตอีกคนหนึ่ง” ผมพูดพร้อมมองไปที่ขมิ้น ที่กำลังยืนนิ่งอย่างไม่กลัวใคร
“หา! คนนี้น่ะเหรอ ว่าที่แม่ของหนู!!!”
.............................................