ทันทีที่รุ่นพี่ต่างคณะคนนั้นเดินมาที่โต๊ะ! พวกเราทุกคนต่างก็ตกใจ
แต่มีคนหนึ่ง..ลุกขึ้นแล้วเดินไปประจันหน้าอย่างไม่เกรงกลัว
“เมาก็ไปนอนพี่! อย่ามาระรานกัน” ขมิ้นคือคนๆนั้นที่เดินออกมา
“ก็น้องเสียงดัง! พี่ก็แค่เดินมาเตือน แต่ถ้าน้องจะขอโทษ ไปนั่งที่โต๊ะของพวกพี่สักครู่แล้วค่อยกลับมา พวกพี่อาจยกโทษให้ก็ได้นะ” รุ่นพี่ร่างยักษ์ทำชีกอใส่ขมิ้น ขณะที่เพื่อนๆของรุ่นพี่คนนี้ประมาณห้าคนที่อยู่ในโต๊ะส่งเสียงชอบใจ
ขณะที่พวกเรากำลังระทึกกับสถานการณ์ข้างหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมที่นั่งโงนเงนด้วยความเมาก็โพล่งขึ้นมา
“ส่องกระจกดูบ้างนะพี่! ว่าหน้าตาแบบนี้สาวที่ไหนอยากจะไปนั่งด้วย มิน่าถึงต้องคอยขู่คนอื่น ท่าทางไม่มีปัญญาหาแฟนสินะ ถึงต้องใช้วิธีแบบนี้!” ผมลุกขึ้นตะโกนขึ้นมา สงสัยจะอยู่กับขมิ้นมากเกินไปเลยติดเชื้อปากไวมาด้วย
“ว่ายังไงนะไอ้หน้าอ่อน อย่างนี้ก็สวยสิ!”รุ่นพี่ร่างยักษ์เดินปรี่มาทางผมทันที
“เดี๋ยว!...” เสียงขมิ้นดังขึ้น ทำให้รุ่นพี่ร่างยักษ์หยุดและหันกลับไป
“สรุปว่าตัดสินใจ จะไปนั่งโต๊ะพี่แล้ว ใช่มะ.....อั้กก!”รุ่นพี่คนเดิมพูดยังไม่ทันจบประโยค ก็ล้มลงไปนอนกองที่พื้น
พวกเราทุกคนต่างตกใจจนอ้าปากค้างที่เห็นเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะตอนนี้! รุ่นพี่คนนั้นโดนขมิ้นเตะก้านคอทีเดียวแล้วสลบไปเลย!
“เฮ้ย! มาเก็บเพื่อนไปด้วย แล้วก็กลับบ้านไปนอนซะ! หรือถ้าข้องใจจะเข้ามาพร้อมกันก็ได้นะ!” ขมิ้นร้องบอกโต๊ะข้างๆ ที่กำลังตกตะลึงในเหตุการณ์เช่นกัน
ตอนนั้นผมคิดว่าสงสัยจะได้มีเรื่องกันครั้งใหญ่แล้ว! และเริ่มสร่างเมาทันที สายตาก็มองหาอาวุธข้างๆโต๊ะเพื่อป้องกันตัว
แต่เรื่องราวกลับไม่เป็นอย่างที่คิด!
“น้องครับ! พวกพี่ขอโทษ เดี๋ยวพี่ขอพาเพื่อนพี่กลับไปก่อนนะครับ เจ๊! เก็บตังค์” รุ่นพี่โต๊ะข้างๆ รีบขอโทษและเก็บเงินทันที ก่อนช่วยกันหามร่างที่ไร้สติของรุ่นพี่ร่างยักษ์คนนั้นกลับไปด้วย
คล้อยหลังพวกนั้นกลับไปไม่นาน พวกเราก็ผ่อนคลายและคุยกันอย่างสนุกสนานมากขึ้น
“ขมิ้น! แกนี่สุดยอดมากเลยว่ะ เตะก้านคอที่เดียวสลบเลย”
“ใช่ๆ แถมยังกล้าออกตัวเร็วด้วยนะ พวกผู้ชายในกลุ่มนี่ยังนั่งนิ่งเป็นรูปปั้นกันอยู่เลย”
“ค่ายมวยที่บ้านแกชื่ออะไรนะ เดี๋ยวปิดเทอมจะไปขอเรียนบ้าง..”
พวกเราพูดคุยถึงเหตุการณ์เมื่อครู่และเรื่องของขมิ้นกันอีกนาน โดยเฉพาะวีรกรรมของขมิ้น ส่วนผมน่ะหรือ! เมาฟุบคาโต๊ะนานแล้ว
ค่ำคืนนั้น ผมก็ถูกหามกลับห้องพักโดยเพื่อนผู้ชายในกลุ่ม
และรุ่งเช้าของอีกวัน ตำนานนักมวยสาวในร้านลาบก็โด่งดังทั่วคณะทันที
ชีวิตในมหาวิทยาลัยผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวผมก็อยู่ปีสองแล้ว
ตอนนี้ผมกลายเป็นคู่ซี้ของขมิ้นไปเรียบร้อย เพราะความห้าวของขมิ้นและตำนานนักมวยสาวจึงไม่มีหนุ่มๆมาแวะเวียนมาขายขนมจีบมากเท่าสมัยก่อน แต่ก็ยังปวดหัวมากกว่าเดิมเพราะมีสาวๆจากต่างคณะแวะเวียนมาแทน
แต่ข้อดีของการมีสาวๆมาชอบขมิ้นก็คือ ขนมมากมายที่นำมาฝาก จนพวกเราได้อานิสงค์อิ่มกันตลอดเวลา
“ครั้งหน้าบอกน้องฟ้านะว่าอย่าซื้อเจ้านี้ ให้ซื้อเจ้าข้างๆแทนแป้งอร่อยกว่า” ผมบอกขมิ้นขณะกำลังกินขนมครกที่สาวๆเอามาฝาก
“กินฟรีก็อย่าบ่น! ถ้าไม่กินก็เอาคืนมา”ขมิ้นดึงถุงขนมครกกลับและเตรียมคว้าชิ้นที่อยู่ในปากผมด้วย แต่อ้อยเข้าปากช้างแล้วจะคายออกได้อย่างไร ผมก็รีบกลืนทันที ทำให้เธอพลาดเป้าไป
“ขอนไม้! นายเคยมีแฟนไหม?” จู่ๆขมิ้นก็ถามผม
“เคยสิ! แต่เลิกไปแล้วตอนสอบเข้าที่นี่” ผมตอบขมิ้น
“แล้วทำไมถึงเลิกล่ะ เธอทิ้งนายไปมีคนอื่นเหรอ?” ขมิ้นถามต่อ
ทุกครั้งที่มีคนถามเรื่องแฟนเก่าทุกคนจะไม่เชื่อว่าผมเป็นคนบอกเลิก ด้วยความที่ผมหน้าตาธรรมดา เรียนก็ห่วย กีฬาก็ไม่เด่น คารมก็ไม่ดี เรียกได้ว่าโคตรธรรมดา จึงทำให้ทุกคนเชื่อว่าแค่มีแฟนได้ก็ถือว่าบุญแล้ว
ดังนั้นผมจึงต้องอธิบายให้ขมิ้นฟังอีกครั้ง หลังจากนั้นขมิ้นก็ไม่ถามเรื่องนี้กับผมอีกเลย
ช่วงปิดเทอมย่อยของปีสอง ผม ขมิ้นและกลุ่มเพื่อนรวมกันสิบคน ตัดสินใจไปเที่ยวกางเต้นท์นอนที่เขาใหญ่ ด้วยการแบกเต้นท์และเตรียมอุปกรณ์ไปทำอาหารกันด้วย
พวกเรามีเต้นท์ห้าหลัง กางเป็นวงกลมล้อมรอบกองไฟ
ผมนอนกับเพื่อนผู้ชาย ขมิ้นนอนกับเพื่อนผู้หญิงแต่เต้นท์ของเราสองคนอยู่ติดกัน
หลังจากเดินทางมาถึง กางเต้นท์และกินมื้อเย็นเสร็จแล้ว พวกเราก็นั่งคุยกันถึงสี่ทุ่มและเริ่มเข้านอน ด้วยความเพลียจากการเดินทาง หลังเข้ามาในเต้นท์ ผมจึงหลับสนิททันที แต่ก็ต้องตื่นด้วยเสียงเรียก!
“ขอนไม้ๆ หลับยัง?” เสียงของขมิ้นดังขึ้นเบา ข้างๆเต้นท์ ตรงจุดที่ผมนอน
“ขมิ้น! ว่าไงยังไม่นอนอีกเหรอ” ผมตอบตามเสียงนั้นด้วยความงัวเงีย
“นอนไม่หลับ! ส่วนไอ้นุ่นหลับไปแล้ว เรากลัวผีน่ะ! เลยไม่กล้านอน” เสียงขมิ้นตอบมาแบบอ่อยๆ
“กลัวผี! สาวห้าวอย่างแกนี่นะ! ผีต้องกลัวแกมากกว่ามั้ง!” ผมตาสว่างและขำในใจ ขมิ้นก็มีด้านที่อ่อนแอเหมือนกันนะนี่
“เออ! ช่วยคุยเป็นเพื่อนหน่อย นั่งข้างนอกยุงก็เยอะ! แต่มันไม่กล้านอนน่ะ! ” ขมิ้นตอบกลับพร้อมเสียงตบยุงอยู่นอกเต้นท์
ผมให้ขมิ้นไปรอที่ในเต้นท์ของเธอ แล้วหาวิธีให้คุยได้แบบยุงไม่กัด เนื่องจากตอนนั้นโทรศัพท์มือถือยังไม่ได้ผลิตออกมา
ยี่สิบนาทีต่อมา! ผมก็เรียกขมิ้นออกมาจากเต้นท์แล้วส่งกระป๋องนมใบหนึ่งให้
“เอากระป๋องนมมาทำไมนี่?” ขมิ้นถามขึ้นเมื่อผมส่งให้เธอฃ
“เอาไว้คุยกันไง มีกระป๋องมีสองอันผูกไว้ด้วยเชือก เราสองคนอยู่ในเต้นท์แล้ว ดึงเชือกให้ตึงหน่อยก็คุยกันได้แล้ว” ผมอธิบายหลักวิทยาศาสตร์แบบง่ายๆ
“อ่ะ! งั้นเดี๋ยวลองดู” ขมิ้นเริ่มเข้าใจ พวกเราจึงแยกย้ายกลับเต้นท์และทดสอบทันที
“โหลๆ! ได้ยินไหม?” ผมถามปลายสาย
“ได้ยินๆ เฮ้ย! ใช้ได้จริงๆด้วย” ขมิ้นดีใจ
“แล้วเราจะคุยอะไรกันดี คุยแบบนี้ไม่ค่อยชินแฮะ!” ขมิ้นถามจากอีกฝั่งหนึ่ง
“งั้นแกเป็นคนฟังและเราเป็นดีเจจัดรายการดีไหม เราจะพูดไปเรื่อยๆ ถ้าแกอยากฟังเพลงก็ขอมาเดี๋ยวร้องให้ฟัง” ผมเสนอไอเดียและขมิ้นดูชอบใจ
“ถ้าอย่างนั้นต้องมีชื่อสถานีสิจะได้เรียกถูก” ขมิ้นเสนอบ้าง
“งั้นใช้ชื่อนี้ละกันนะ อะแฮ่ม!”ผมไม่บอกชื่อสถานีและเริ่มจัดรายการเลียนแบบสถานีวิทยุทันที
“สวัสดีครับคุณผู้ฟัง ขอต้อนรับเข้าสู่สถานีความรัก สถานีแห่งใหม่ที่เปิดมาในค่ำคืนนี้เพื่อคุณขมิ้นคนเดียวนะครับ..............”
คืนนั้นท่ามกลางหุบเขาที่ปกคลุมด้วยกลุ่มดวงดาวระยับ มีชายหญิงคู่หนึ่งได้เปิดสถานีวิทยุส่วนตัวขึ้นมา มันเป็นสถานีที่ไม่มีอุปกรณ์ไฟฟ้าและเสียงดนตรี
มีแต่เพียงถ้อยคำและความรู้สึกบางอย่าง...ที่ดึงดูดกัน
.........................................