ตอนที่ 16 พรหมลิขิต
พี่ชัยพอรู้ข่าว ก็รีบมาเยี่ยมพ่อของผมและบอกผมว่าปีหน้ายังมีอีก ให้อยู่ช่วยที่บ้านไปก่อน แล้วค่อยรอสอบใหม่
 
ผมเองก็ค่อยๆวิเคราะห์สถานการณ์ของที่บ้าน ตอนนี้เงินเก็บเกือบทั้งหมดของที่บ้านหมดไปกับการรักษาพ่อ ซึ่งนอกจากไส้ติ่งแล้ว หมอยังตรวจพบโรคอื่นๆอีก ทำให้เราต้องเตรียมเงินเพื่อใช้ในการรักษาเพิ่ม
 
รายได้หลักของที่บ้านผมคือการทำสวน มีคนงานที่เราจ้างช่วยดูแลและเก็บเกี่ยว ซึ่งแม่สามารถดูแลได้เอง จึงไม่เหมาะที่ผมจะนั่งเฉยๆอยู่ที่บ้านเพื่อรอสอบใหม่ปีหน้า เพราะต้องใช้เงินของที่บ้านในการอยู่กินและยังต้องส่งน้องสาวซึ่งยังเรียนอยู่ด้วยอีกหนึ่งคน
 
ผมจึงตัดสินใจสมัครงานอื่นทั้งงานที่เกี่ยวกับเกษตรและงานด้านอื่น ตอนนั้นขอให้มีรายได้เพิ่มมาช่วยเหลือครอบครัวก็พอ
 
และได้งานแรกในชีวิตก็คือพนักงาน QC ของโรงงานแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลบ้านมากนัก
 
ผมเลือกที่นี่เพราะใกล้บ้านจะได้ช่วยแม่ดูแลพ่อได้
 
พ่อของผมเนื่องจากเป็นชาวสวนมาโดยตลอด ร่างกายจึงแข็งแรงและฟื้นตัวได้เร็วกลับมาทำงานได้ปกติ ช่วงที่พ่อป่วย ผมรู้สึกเหมือนว่าแววตาที่พ่อมองมาที่ผมนั้นเปลี่ยนไป
 
“ธีย์!  มานั่งคุยกันหน่อย” พ่อเรียกผมนั่งคุยเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี
 
“ครับพ่อ” ผมเดินมาที่โต๊ะรับแขกที่พ่อและแม่นั่งอยู่
 
“พ่ออยากขอบคุณที่ธีย์ดูแลครอบครัวมาเป็นอย่างดี ช่วงที่พ่อรักษาตัว จนตอนนี้พ่อหายดีแล้ว”
 
“จากนี้ไป! ธีย์ทำงานตามที่ชอบและเรียนมาเถอะ พ่อและแม่อยากให้ธีย์มีความสุขมากกว่านี้ พ่อและแม่ภูมิใจในตัวธีย์มากนะ ” พ่อคุยกับผมและเอามือมาลูบหัวผมด้วยความเอ็นดู ส่วนแม่ก็น้ำตาซึมด้วยความปลาบปลื้ม ที่เห็นลูกชายเป็นที่พึ่งของครอบครัวได้
 
มีคนที่จบเกษตรหลายคน ไม่ได้ทำงานในด้านที่ตนเองเรียน ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นเพราะความจำเป็น แต่โชคดีที่บ้านของผมยังอยากเห็นผมมีความสุขกับสิ่งที่ได้เรียน
 
ผมทำงานที่โรงงานสองปี โดยตัดสินใจไม่ไปสอบเป็นข้าราชการ พอขึ้นปีที่สามผมก็ได้มาทำงานสวนส้มเดิมที่เคยฝึกงานในจังหวัดเพชรบูรณ์
 
พี่โชคหัวหน้างาน หลังจากที่ได้รับจดหมายของผม ก็ติดต่อกลับมาเมื่อมีตำแหน่งนักส่งเสริมการเกษตรว่างลง ทำให้ตอนนี้ผมได้ทำเกษตรตามที่ตั้งใจ
 
เรื่องของขมิ้น แม้ว่าตอนแรกผมจะคิดถึงเธอมาก แต่พอเกิดเรื่องกับครอบครัวก็ทำให้ผมเลิกฟุ้งซ่านไปได้ จนตอนนี้เหลือเพียงความทรงจำที่ดีต่อกัน
 
ในเดือนแรกผมทำงานด้วยความตั้งใจ เลิกงานก็สังสรรค์บ้างเล็กน้อยกับพวกพี่โชค ชีวิตก็มีความสุขดีและรู้สึกว่ายังไม่อยากมีแฟน
 
จนเดือนที่สอง ก็มีเหตุที่ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไปครั้งใหญ่ เพราะทางสวนส้มรับนักส่งเสริมการเกษตรคนใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคน
 
เมื่อผมเห็นหน้าพนักงานใหม่ก็ต้องตกใจ เพราะเธอเป็นคนที่ผมรู้จักดีเลยทีเดียว
 
“น้ำหวาน” เพื่อนที่เคยเจอกันตอนฝึกงานและที่เคยเป็นลมจนทำให้ขมิ้นเห็นภาพตอนที่ผมอุ้มเธอและเข้าใจผิดนั่นเอง
 
“ไหนพ่อบอกว่าคนนี้เป็นเพื่อนไง?” น้องมีนถามผม
 
“ตอนนั้น พ่อคิดกับเธอแค่เพื่อนจริงๆ” ผมตอบน้องมีน
 
“แล้วตอนนี้! ทำไมคิดแบบอื่นได้” น้องมีนถามต่อ
 
“มันคงเป็นพรหมลิขิตน่ะ” ผมตอบน้องมีนอีกครั้งและมองภาพที่เบื้องหน้า ความทรงจำของผมกับน้ำหวานก็หลั่งไหลเข้ามาเหมือนเรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อไม่นาน
 
...................................
 
“ธีย์! นายมาทำงานที่นี่ด้วยเหรอ บังเอิญจริงๆเลย” น้ำหวานดีใจที่เห็นผม
 
“ใช่! บังเอิญมาก เราเพิ่งมาทำก่อนน้ำหวานได้แค่เดือนเดียวเอง” ผมตอบน้ำหวาน
 
หลังจากน้ำหวานแนะนำตัวกับพี่ๆ เสร็จ ผมก็พาน้ำหวานได้รับงานในส่วนของเธอและกลายเป็นพี่เลี้ยงไปด้วย
 
น้ำหวานก็ยังเป็นเด็กสาวที่มองโลกในแง่ดีและคุยสนุกเหมือนเดิม เธอเล่าให้ฟังว่าสองปีที่ผ่านมาเธอก็ทำงานช่วยที่บ้านไม่ได้ไปสอบเป็นข้าราชการเหมือนกัน
 
จนวันหนึ่ง! จู่ๆก็นึกอยากทำงานที่นี่ ก็โทรศัพท์มาถามฝ่ายบุคคลด้วยตัวเอง แล้วจังหวะก็พอดีกับพี่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ทำตำแหน่งนี้มานาน เพิ่งลาออกในวันนั้นพอดี เนื่องจากต้องกลับไปแต่งงานที่บ้านเกิดและต้องดูแลครอบครัวสามี
 
ทางสวนส้มจึงรับน้ำหวานทำงานแทบจะทันที
 
“เรื่องมันบังเอิญมากเลยนะ ที่พวกเราได้กลับมาทำงานที่นี่ด้วยกันอีก” ผมพูดกับน้ำหวานหลังได้ยินเรื่องของเธอ
 
“บางทีอาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะ มันอาจเป็นพรหมลิขิตก็ได้” น้ำหวานพูดกับผมแล้วก็เดินไปทักทายพี่ๆที่รู้จัก
 
“พรหมลิขิต?” ผมทวนคำนี้อยู่ในใจ แล้วก็มองไปที่น้ำหวาน
 
ก็อาจจะจริงนะ เพราะเรื่องการที่คนเราจะได้มาเจอกัน ในเวลาและสถานที่เดียวกัน ดูเป็นเรื่องยากเช่นกัน
 
ตั้งแต่นั้นมาผมและน้ำหวานก็สนิทกันมากขึ้นกว่าตอนที่ฝึกงาน
 
..................
 
“ธีย์! เราขอโทษนะ” น้ำหวานขอโทษผม หลังจากที่ถามเรื่องขมิ้นและผมเล่าให้เธอฟังทั้งหมด
 
“ไม่ต้องขอโทษหรอก น้ำหวานไม่ได้ทำอะไรผิดนี่และอีกอย่าง ขมิ้นเองก็คงเปลี่ยนนิสัยไม่ได้ง่ายๆเช่นกัน” ผมอธิบาย
 
หลังจากคุยเรื่องความรัก ทำให้ผมรู้ว่าน้ำหวานเองก็ยังไม่มีแฟน เพราะเธอรู้ว่าท้ายที่สุดครอบครัวของเธอ ก็จะให้เธอแต่งงานแบบคลุมถุงชนอยู่ดี
 
“แล้วมีไปดูตัวบ้างไหม?” ผมถามน้ำหวานขณะที่เราเดินอยู่กลางสวน
 
“มีสิ! คนหนึ่งแก่เป็นลุงเลยนะ หัวล้าน ลงพุงด้วย แต่ป๊าบอกว่าแก่กว่าเราไม่มาก พอขอดูบัตรถึงได้รู้ว่าแก่กว่าเกือบยี่สิบปี ” น้ำหวานเล่าไปก็หัวเราะไป
 
“ส่วนอีกคนนะ ดูสาวกว่าเราอีก แต่งหน้า กันคิ้ว มือไม้อ่อนยิ่งกว่าเราอีก แถมตอนคุยก็ส่งสายตาให้ป๊าด้วย จนม๊าเราทนไม่ไหวจูงมือเรากับป๊าเดินออกมาเลย” น้ำหวานเล่าเรื่องนี้ยิ่งขำมากกว่าเดิม ทำเอาผมขำตามไปด้วย
 
ยิ่งใกล้ชิดกับน้ำหวานมากขึ้น ก็ทำให้ผมรู้อย่างหนึ่งว่า การที่เราอยู่กับคนที่มองโลกในแง่ดี ก็ทำให้เรามองโลกแบบนั้นไปด้วย จากเรื่องเดิมๆที่เคยทำให้ผมอารมณ์เสีย พอมองโลกแบบน้ำหวานเป็นเรื่องธรรมดาๆ ที่ไม่ควรเก็บมาคิด
 
นอกจากเรื่องมองโลกในแง่ดีแล้ว น้ำหวานก็ยังเป็นคนจิตใจดีอีกด้วย
 
มีครั้งหนึ่งที่เราขับรถไปส่งของกัน แล้วเจอคุณยายคนหนึ่งนอนฟุบเป็นลมอยู่ข้างทาง น้ำหวานรีบบอกให้ผมจอดรถแล้ววิ่งไปช่วยคุณยายคนนั้น ก่อนให้ผมขับรถพาไปโรงพยาบาลและช่วยออกค่ารักษาให้
 
และยังมีอีกหลายเรื่องที่ผมประทับใจในความใจดีของเธอ
 
จนถึงวันหนึ่ง! ที่ผมเริ่มคิดกับเธอ...มากกว่าคำว่าเพื่อน!
 
......................