ย้อนอดีต ตามหา...แม่ของลูก
ตอนที่ 44 เดินทาง
9.00 น. วันอาทิตย์ เป็นฤกษ์งามยามดีของการเดินทางครั้งนี้
 
แคทขับรถมารับผมที่บ้าน ด้วยรถเก๋งสีขาวคันเดิมที่เป็นซิตี้คาร์แบบธรรมดา
 
เมื่อเธอเปิดประตูลงมาก็ตกใจ ที่เห็นกระเป๋าเดินทางของผม
 
“คุณธีย์เอาตู้เย็นไปด้วยหรือคะ?” แคทเห็นขนาดกระเป๋าของผมแล้วตกใจ นึกว่าเป็นตู้เย็น
 
หลังจากยัดทุกอย่างเข้าไปในรถได้แล้ว พวกเราก็ออกเดินทาง โดยที่ผมเองไม่เคยรู้รายละเอียดเรื่องสถานที่ ๆ พวกเราจะไปกันเลย
 
“เคยได้ยินเรื่องหนึ่งร้อยสิ่งที่อยากทำก่อนตายไหมคะ ที่เค้าจะให้เราเขียนสิ่งที่อยากทำลงไปมากที่สุดหนึ่งร้อยเรื่อง แล้วให้เราพยายามทำมันให้ได้ก่อนจะตาย เพื่อไม่ให้เราลืมสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ” แคทพูดระหว่างขับรถ
 
“เคยได้ยินเหมือนกันครับ แต่ผมไม่เคยทำเลย แล้วคุณแคททำไปได้กี่เรื่องแล้วครับ” ผมตอบกลับเธอด้วยคำถาม
 
“แคททำไปได้แค่ครึ่งเดียวค่ะ ก็เลยอยากใช้เวลาสามเดือนนี้ทำทุกอย่างให้ครบ”
 
"คุณแคทยังมีเวลาอีกมากนะครับ ไม่ต้องรีบทำทุกอย่างภายในสามเดือนก็ได้"
 
"ถึงแคทจะมีเวลาอีกมาก แต่แคทแค่กลัวว่าหลังจากสามเดือนแคทจะไม่มีคุณธีย์อยู่ด้วยน่ะค่ะ เลยอยากรีบทำทั้งหมด"
 
แคทพูดตอบ ทำเอาผมพูดไม่ออก เพราะไม่รู้ว่าเธอหมายความว่าอย่างไร
 
สถานที่แรกที่แคทอยากไปก็คือ จังหวัดเชียงใหม่ เราสลับกันขับรถใช้เวลาประมาณแปดชั่วโมงก็ถึงเชียงใหม่ในเวลาค่ำ
 
พวกเรามาพักกันที่สวนแห่งหนึ่งที่แคทลงคอร์สเรียนไว้ โดยเราจะพักและเรียนเรื่องเกษตรกันที่นี่ประมาณสองอาทิตย์
 
"คุณจอห์น จันโดน" เจ้าของสวนถือเป็นปราชญ์ชาวบ้านรุ่นใหม่คนหนึ่ง ที่มีแนวคิดทางการเกษตรที่ดี
 
แคทอยากมาที่นี่เพราะตั้งใจจะมาเรียนรู้เรื่องการเก็บเมล็ดพันธุ์พืชและการทำบ้านดิน
 
ในการพักแรมจะมีการแบ่งโซนผู้หญิงและผู้ชาย ทำให้ผมสบายใจมากขึ้น
 
พวกเราตื่นในตอนเช้า ที่นี่จะมีอาสาสมัครทำอาหารให้ที่โรงอาหาร โดยใช้วัตถุดิบจากสวนแทบทั้งนั้น ซึ่งคนที่สมัครเป็นอาสาสมัครมีืั้งคนไทยและต่างชาติ โดยส่วนใหญ่มักเป็นลูกศิษย์ที่เคยอบรมจบแล้ว แต่อยากใช้ชีวิตอยู่ต่อ
 
วันแรกของพวกเราก็เรียนเรื่องของการเก็บเมล็ดพันธุ์พืช
 
แม้ผมจะทำเกษตรมาตลอด แต่การนั่งเรียนเรื่องนี้ก็ยังเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เพราะนอกจากคุณจอห์น จันโดน จะสอนเรื่องการเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์พืชแล้วยังพูดถึงภาพรวมของการเกษตรให้พวกเราฟังอีกด้วย
 
สมัยก่อนเมล็ดพันธุ์พืชสามารถขยายได้เอง พอชาวไร่ชาวนาปลูกพืชก็มักจะเก็บผลผลิตส่วนหนึ่งไว้ทำเมล็ดพันธุ์เพื่อเพราะปลูกต่อ แต่ปัจจุบันการเพาะปลูกส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นแบบนั้น
 
เพราะเมล็ดพืชพันธุ์พื้นเมือง มีรูปร่างที่ไม่สวยและขนาดไม่ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค เกษตรกรจึงต้องซื้อเมล็ดพันธุ์จากบริษัทเอกชนที่พัฒนาสายพันธ์เรียบร้อย ซึ่งเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ ต้องซื้อใหม่ทุกครั้ง ไม่สามารถนำมาขยายพันธุ์ได้ เพราะถูกทำให้เป็นหมันด้วยวิธีการพิเศษ
 
เกษตรกรจึงต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ใหม่ทุกรอบการปลูก
 
นอกจากหน่วยงานราชการที่ยังคอยพัฒนาสายพันธุ์พืชอย่างสม่ำเสมอและแจกเมล็ดพันธุ์ให้เกษตรกรแล้ว
 
สวนของคุณจอห์น จันโดน ก็เป็นอีกแห่งที่แจกเมล็ดพันธุ์ให้เกษตรกรฟรี เพื่อจะได้ประหยัดต้นทุนและรักษาสายพันธุ์พืชพื้นเมืองของไทย ให้คงอยู่ตลอดไป
 
หลังจากเรียนเรื่องการเก็บเมล็ดพันธุ์แล้ว วันต่อมาพวกเราก็เรียนรู้เรื่องการทำบ้านดิน
 
ก็ทำให้ผมรู้ว่าบ้านดินมีราคาถูกกว่าบ้านทั่วไป 4-5 เท่าเลยทีเดียว เพียงแต่อาจต้องมีการจ้างแรงงานคนมาช่วย
 
นอกจากนี้บ้านดินยังแข็งแรงและมีความเย็นเหมาะกับอากาศร้อนอย่างเมืองไทย
 
ทำให้ผมอยากจะทำบ้านดินสักหลังเมื่อกลับไปถึงกรุงเทพ
 
เย็นวันหนึ่งหลังจากเราได้ทดลองทำบ้านดิน ผมก็เดินไปหาแคทและส่งของสิ่งหนึ่งให้เธอ
 
“คุณแคทลองใช้สบู่สูตรนี้อาบน้ำนะครับ นอกจากจะช่วยเรื่องกลิ่นเหงื่อได้ดีแล้ว ยังทำให้หายเพลียแดด แถมแผลเล็กๆที่โดนหญ้าบาดก็หายเร็วขึ้นด้วย” ผมอธิบายสรรพคุณ
 
“สบู่เบนเนทอโรม่า! น่าใช้ดีนะคะ โฆษณาสรรพคุณกันขนาดนี้ เดี๋ยววันนี้แคทจะลองใช้ดูค่ะ” แคทรับของในมือผมและพลิกดู เธอดูตื่นเต้นกับสรรพคุณของสบู่ที่ผมบอกไป
 
ผมยิ้มและมองดูแคท เธอดูเป็นผู้หญิงสายลุยมากกว่าที่ผมคิดและการมาเที่ยวของเธอก็สร้างสรรค์กว่าที่ผมคิด
 
..............
 
“คุณธีย์คะ นี่เพื่อนใหม่แคท เค้าอยากจะถามอะไรหน่อยค่ะ” แคทพาเพื่อนผู้หญิงมาด้วยห้าคน มีทั้งคนไทยและชาวต่างชาติ ในเช้าวันหนึ่งขณะที่ผมนั่งทานอาหารเช้า
 
“สวัสดีค่ะคุณธีย์ ไม่ทราบว่าคุณธีย์ยังมีสบู่เบนเนทอโรม่าอีกไหมคะ พวกเราอยากลองใช้ดู เพราะเห็นคุณแคทใช้แล้วรอยแผลที่โดนหญ้าบาดหายไปเร็วมากน่ะค่ะ แถมเธอยังบอกว่าอาการเพลียจากทำงานก็หายไปด้วย” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น หลังจากแคทแนะนำพวกเธอกับผม
 
“ผมเอามาเป็นโหลเลยครับ เดี๋ยวผมเอามาให้ใช้ฟรี ๆ เลย”  ผมออกตัวและนำสบู่มาให้พวกเธอเป็นของขวัญที่รู้จักกัน
 
จากนั้นพวกเราก็มีเพื่อนใหม่มากขึ้นและทุกคนก็อยากลองใช้สบู่เบนเนทอโรม่า หลังจากได้ยินคนที่ใช้แล้วพูดถึงความมหัศจรรย์ของมัน
 
ผมควรไปเก็บค่าโฆษณากับเบนเนทไหมนี่!
 
นอกจากจะเรียนเรื่องเมล็ดพันธุ์และบ้านดินแล้ว ที่นี่ยังสอนอะไรอีกหลายๆอย่าง ทำให้เวลาสองอาทิตย์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว
 
และแล้วเราสองคน ก็ออกเดินทางไปสถานที่แห่งใหม่
 
ซึ่งเป็นศูนย์การเรียนรู้ทางการเกษตรเหมือนเดิมแต่เป็นคนละจังหวัดและคนละเรื่อง
 
“มีเหลืออยู่อีกประมาณห้าที่ค่ะ ที่แคทอยากลงเรียน พวกเราน่าจะใช้เวลาเกือบสองเดือนในการเรียนรู้เรื่องการเกษตรแบบนี้” แคทพูดแล้วยิ้มให้ผม
 
ตอนนี้ผมเข้าใจเธอมากขึ้นแล้ว ว่าทำไมถึงใช้เวลาเที่ยวนานถึงสามเดือน
 
พวกเราขับรถไปแต่ละภาคตามที่เธอตั้งใจ ทั้งเรียนเรื่องการปลูกไผ่ ปลูกข้าว ปลูกกาแฟ ปลูกโกโก้ และอีกมากมายศูนย์การเรียนรู้แต่ละแห่งนั้นสอนเรา
 
ยิ่งอยู่กับแคทนานเท่าไหร่....
 
ผมก็รู้สึกว่า...อยากให้เวลาที่เราอยู่ด้วยกันตลอดสามเดือนนี้
 
กลายเป็นอยู่ด้วยกัน...ตลอดชีวิตจริงๆ
 
.......................
 
ตอนต่อไป
ตอนที่ 45 จุดหมายและคำตอบ