ความรัก...ชั่วพริบตา
ตอนที่ 24 ครอบครัวแห่งเมืองทิพย์
“กลับมาแล้วเหรอแม่ วันนี้เป็นอย่างไรบ้างเหนื่อยมากไหม?” นายภูผาในชุดผ้ากันเปื้อนถามฉันอย่างเป็นห่วง พร้อมเอาน้ำมาให้
 
“ก็เหนื่อยอยู่นะพ่อ แต่ก็ทนได้เพื่อครอบครัวของเรา” ฉันตอบภูผาพร้อมรับน้ำมาดื่ม
 
“แล้วลูกขอเราเป็นอย่างไรบ้างพ่อ วันนี้เป็นวันแรกที่ไปโรงเรียนนี่?” ฉันถามพลางชะเง้อมองหา
 
“ไม่ต้องห่วงเลยล่ะ ไปวันแรกก็ได้เพื่อนใหม่หลายคน แถมครูยังชมว่าฉลาดด้วยนะ!” ภูผาพูดชมลูกของเรา
 
“นั่งไงมาโน่นแล้ว ข้าวตูมาหาแม่สิลูก” ภูผาร้องเรียกลูกของเรา ไม่นานหมาน้อยสี่ขาก็เดินเข้ามาหาด้วยความดีใจ แล้วพูดกับฉันว่า
 
“แม่จ๋า.. หนูหิวข้าว!”
 
........................
 
ฉันสะดุ้งตื่นทันที เมื่อได้เห็นลูกตัวเองเป็นเจ้าข้าวตูแถมยังพูดได้ พลางหันมองไปข้าง ๆ แล้วเห็นข้าวตูกำลังหลับอย่างมีความสุข
 
ข้าวตูเอ๊ย! แกทำฝันที่แสนหวานของแม่พังหมดเลย เฮ้อ!
 
จะว่าไปการใช้ชีวิตอยู่ในเซฟเฮ้าส์ก็ทำให้ฉันอดฝันแบบนี้ไม่ได้ เพราะหากแยกเรื่องงานออกไป ฉัน ภูผาและข้าวตู ก็แทบจะอยู่เหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน เพียงแต่ไม่ได้หวานใส่กันขนาดนั้น!
 
“ข้าวตูไปคาบมา!” ภูผาปากิ่งไม้ไปข้างหน้า เจ้าข้าวตูเห็นดังนั้นก็รีบวิ่งไปคาบ แล้วเอากลับมาให้ภูผา ทั้งสองเล่นแบบนี้ไปสักพักก็เดินมาหาฉันที่กำลังนั่งดูอยู่
 
“ข้าวตูนี่ฉลาดดีนะ เราอยากเลี้ยงหมามานานแต่ที่คอนโดห้ามเลี้ยงสัตว์ พอมาเจอหมาฉลาด ๆ แบบนี้ก็อยากจะเลี้ยงสักตัว” ภูผาชมข้าวตูพลางลูบหัวมัน
 
“ข้าวตูต้องฝึกอีกเยอะมันยังไม่ฉลาดเท่าหมาบ้านอื่นหรอก” ฉันตอบภูผาพลางยิ้มให้เขา
 
“ข้าวตูไปเอาสบู่เบนเนทเอ็กซ์ตร้าไวท์มาให้หน่อย แม่จะอาบน้ำ” ฉันสั่งข้าวตู มันทำท่าตะเบ๊ะรับคำสั่งแล้วรีบวิ่งไปหยิบของให้ฉัน
 
“อันที่จริงเราก็สงสัยนะว่าเธอสื่อสารกับข้าวตูยังไง พอเธอสั่งมันก็มีปฏิกิริยาอีกแบบ แถมเธอยังฟังมันรู้เรื่องด้วย แล้วหมาที่เธอว่าฉลาดมันต้องทำอะไรได้มากกว่าข้าวตู?”  ภูผาถามฉัน
 
“มันต้องขับรถ ขับจรวดได้ หรืออย่างน้อยต้องซักผ้า ถูบ้าน ทำความสะอาดได้” ฉันบอกกับภูผาตามที่ฉันเคยเห็นน้องหมาในหนังหลายเรื่อง
 
“.................” ภูผา
 
..................................
 
แม้จะมีความสุข แต่ครอบครัวทิพย์ของฉันก็ต้องพักร้อนชั่วคราว เมื่อผู้กององอาจให้พวกเราเดินทางมาสืบคดีเพิ่มที่อยุธยา
 
พวกเราเดินทางด้วยรถตู้สองคัน มีเจ้าหน้าที่และทีมผู้นำทางรวมถึงข้าวตูและนายภูผา
 
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาพวกเราก็ถึงที่สถานีตำรวจในอำเภอเมือง โดยแผนของเราคือการเชิญตัวผู้ที่น่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สร้างสะพานมาที่นี่ เพื่อสอบถามและให้เหล่าผู้ทำนายช่วยเหลือ
 
“ถ้าเรายกทีมไปหาพวกเขาที่บ้าน มันจะเป็นที่สนใจของสื่อมวลชนมากเกินไป ฆาตกรอาจจะรู้ความเคลื่อนไหวของเรา” ผู้กององอาจให้เหตุผลไว้แบบนี้
 
คนแรกที่ทางทีมสืบสวนเชิญมาก็คือ “จ่ามี” นายตำรวจเก่าที่ตอนนี้ไปทำสวนและเป็นคนทรง จ่ามีเป็นชายวัยกลางคนที่ผิวสองสี มีรอยสักยันต์เต็มตัว หน้าตาดุดันและไว้หนวดเฟิ้ม
 
แกนั่งลงในห้องสืบสวน โดยมีผู้กององอาจและเจ้าหน้าที่อีกสองคนนั่งอยู่ ส่วนพวกเราที่เหลือนั่งอยู่ในห้องกระจกอีกฝั่ง ที่คนในห้องนั้นจะมองไม่เห็นเหมือนในหนัง
 
“ขอบคุณจ่ามีมากนะครับที่ให้ความร่วมมือ”
 
“ไม่เป็นไรครับ ผมเป็นตำรวจเก่า ย่อมเข้าใจการทำงานแบบนี้”
 
“งั้นผมขอเข้าเรื่องเลยนะครับ ผมอยากให้จ่ามีเล่าเกี่ยวกับที่ดินตรงสะพานฉัฐมาพรและเรื่องราวช่วงก่อนและหลังสร้างครับ” ผู้กององอาจเข้าประเด็น
 
“สมัยก่อนที่ดินตรงนี้เป็นที่รกร้าง ชาวบ้านได้แค่ตั้งหมู่บ้านอยู่รอบ ๆ เพราะไม่มีใครกล้าเข้าไปอยู่ตรงนั้น เนื่องจากเชื่อว่ามันเป็นสุสานเก่าโบราณที่เฮี๊ยนมาก”
 
“สมัยก่อนบริเวณนี้มีคนตายทุกปี จนถึงช่วงก่อสร้างก็ยังมีคนงานเสียชีวิตอยู่หลายครั้ง แต่ผู้รับเหมาปิดข่าว คนภายนอกจึงไม่รู้”
 
“แล้วจ่ามีว่า ที่นั่นมีอาถรรพ์จริงหรือไม่ครับ?” ผู้กององอาจถามต่อ
 
“มีสิครับ! ของแรงซะด้วย มันเป็นวิญญาณของคนขอมโบราณ ผมเองก็ยังเคยเจอ!” จ่ามีพูดด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
 
“พอตอนคนงานก่อสร้างเสียชีวิตหลายคน ผู้รับเหมาก็มาเชิญผมไปทำพิธี เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับคนงาน แต่พอผมเริ่มทำพิธีเท่านั้นแหละ จู่ ๆ เครนก่อสร้างก็ล้มลงมาที่หน้าพิธี พร้อมวิญญาณผู้ชายที่แต่งตัวเหมือนคนโบราณ ยืนอยู่บนเครนพร้อมชี้หน้าผม แล้วบอกว่าให้ออกไป ถ้ายังไม่อยากตาย!”
 
เมื่อจ่ามีเล่าถึงตรงนี้ ฉันและทุกคนที่อยู่ในห้องก็ขนลุกซู่ ราวกับกำลังอยู่ในเหตุการณ์
 
“ตอนนั้น ทุกคนในนั้นต่างก็วิ่งกระเจิง เหลือแต่ผมคนเดียว วิญญาณคนโบราณก็พูดต่อว่า ถ้าอยากจะสร้างสะพานให้เอาคนมาสังเวยยี่สิบสี่คน ไม่อย่างนั้นก็ไม่ให้สร้าง ก่อนจะหายตัวไปต่อหน้าต่อตาของผม” จ่ามีเล่าเรื่องต่อจนจบพร้อมทำสีหน้าหวาดกลัว
 
“แล้วหลังจากนั้นจ่ามีทำอย่างไรต่อ?”
 
“ผมก็บอกทางผู้รับเหมา แล้วก็ไม่ได้ทำพิธีต่อเพราะความกลัว ผู้กองคิดเอาเองแล้วกัน ขนาดทำพิธีกลางวันแสก ๆ ยังปรากฏตัวได้ เฮี๊ยนขนาดนี้ผมเข้าไปยุ่งต่อก็บ้าแล้วล่ะครับ”
 
“แต่ในที่สุด ทางผู้รับเหมาก็ได้จอมขมังเวทย์มาหนึ่งคนเพื่อทำพิธี จนสามารถสร้างสะพานต่อจนเสร็จนี่แหละ”
 
“แล้วจ่ามีรู้ไหม ว่าจอมขมังเวทย์คนนั้นเป็นใคร?” ผู้กององอาจถามต่อ
 
“เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ครับ เพราะวันทำพิธีขนาดคนงานยังห้ามเข้าไป น่าจะรู้แค่เจ้าของบริษัทรับเหมางานกับคนสนิทไม่กี่คน”
 
หลังจากนั้นผู้กององอาจก็สอบถามเรื่องอื่น ๆ อีกเกือบชั่วโมง ก็ปล่อยตัวจ่ามีกลับบ้านไป
 
จากนั้นคนที่สองก็เข้ามา เขาก็คือ “ผู้พันตุ๋ย” จอมขมังเวทย์อีกคนหนึ่ง ที่เป็นคนพื้นที่
 
“ผู้พันตุ๋ย” เป็นชายไทยผิวสองสี รูปร่างสูงใหญ่ ไม่ไว้หนวดเครา แต่มีรอยแผลเป็นที่แก้มซ้าย ตอนนี้เป็นนักการเมืองท้องถิ่น
 
ทันทีที่ผู้พันตุ๋ยเดินเข้ามาในห้องนี้ เขาก็มองมาที่กระจกเงา ที่ด้านหลังมีพวกเรานั่งแอบอยู่
 
“มีคนมีวิชาอยู่ที่นี่ด้วยหรือนี่ ทีมผู้กองนี่น่าสนใจจริง ๆ นะครับ!” ผู้พันตุ๋ยยิ้นด้วยมุมปาก ก่อนจะนั่งลงคุยกับผู้กององอาจ!
....................
ตอนต่อไป
ตอนที่ 25 เหตุการณ์ฝันที่แปลกประหลาด