ความรัก...ชั่วพริบตา
ตอนที่ 27 ตามรังควานไม่เลิกรา
“แล้วพวกเราทำอย่างไรดี?” ฉันถามขึ้นหลังจากได้ยินหมอเรนพูดจบ
 
“พวกมันน่าจะยังกลัวพ่อหมอสามตาอยู่จึงไม่เข้ามาในรถ แต่เพื่อความปลอดภัยทุกคนแตะตัวกันไว้เดี๋ยวผมจะแผ่กระแสจิตช่วยป้องกันก่อน” หมอเรนบอกวิธีแก้ไขเฉพาะหน้า
 
ตอนนี้ทุกคนก็ใช้มือแตะตัวกันไว้ส่วนคนที่ใกล้ก็แตะตัวหมอเรน นับเป็นการนั่งรถตู้ที่เมื่อยมาก แต่ทุกคนก็ยินยอมเพื่อความปลอดภัย
 
เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง พวกเราก็ถึงที่พัก ตอนที่ลงจากรถพ่อหมอสามตาเป็นคนลงไปก่อนพร้อมร่ายคาถาและเคาะที่เพดานของรถ
 
“โอม......จงออกไป!”  ชั่วขณะที่พ่อหมอทำพิธีไล่นั้น พวกเรารู้สึกเหมือนแรงกดดันได้หายไป
 
“พวกมันไปแล้ว พวกเราลงจากรถกันเถอะ” พ่อหมอสามตาพูดหลังจากทำพิธีเสร็จ
 
หลังจากถึงที่พักหมอเรนให้พวกเรานั่งรออยู่ที่ล็อบบี้ ก่อนนำเครื่องรางมาแจก พร้อมแนะให้ฉันและนายภูผา มาพักอยู่ที่ห้องของพ่อหมอสามตาก่อนชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย
 
“มันจ้องเล่นงานหนูทับทิมและคุณภูผา คืนนี้มาอยู่ด้วยกันก่อน แล้วค่อยว่ากันอีกที” หมอเรนอธิบายเหตุผล
 
หลังจากพวกเราแยกย้ายกันเข้าที่พัก ประชาสัมพันธ์ของโรงแรมก็แอบซุบซิบกัน
 
“แขกกลุ่มนี้ แปลกดีนะ มีมาแจกของขลังกันด้วย สงสัยจะไปได้ของดีจากวัดไหนมา” หญิงสาวคนหนึ่งแอบกระซิบกับเพื่อน
 
“นั่นสิ! ออกไปข้างนอกแล้ว ยังชวนเพื่อนแต่งชุดโบราณมาด้วยตั้งหลายคน แถมหน้าตายังดูโบราณเหมือนชุดอีกด้วย สงสัยจะมาถ่ายหนังกันเนอะ” หญิงสาวอีกคนตอบเพื่อน ขณะที่เห็นคนแต่งชุดโบราณเดินตามพวกเราเข้ามา!
 
..................
 
“หลังจากที่ไปสอบถามคนที่เคยทำงานกับผู้รับเหมาแล้ว เราก็ได้เบาะแสบางอย่างเพิ่มเติม” ผู้กององอาจพูดด้วยเสียงที่เบากว่าเดิม ส่วนพวกเราก็ได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ
 
“ว่าแต่.......พวกเรานั่งประชุมกันแบบนี้ มันไม่ดูอึดอัดเกินไปเหรอ?” ผู้กององอาจพูดถึงการประชุม ที่ตอนนี้ทุกคนต่างนั่งเบียดล้อมวงกับพื้น อยู่ภายในวงสายสิญจน์
 
“เอ่อ...อดทนหน่อยนะครับ พอดีผมมีสายสิญจน์เหลืออยู่เท่านี้ เมื่อครู่ฝากเด็กของโรงแรมไปหาซื้อเพิ่มให้แล้วครับ”  พ่อหมอสามตาตอบพลางทำหน้าแห้ง ๆ
 
“เอาล่ะ! ไม่เป็นไร งั้นผมพูดต่อนะ......” ผู้กององอาจส่ายหัวเบา ๆ แล้วเล่าเรื่องต่อ
 
“ชายคนนั้นบอกว่าการทำงานสร้างสะพานก็ปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คือ....ในแคมป์คนงานมีข่าวลือว่าใต้สะพานแห่งนี้มีสมบัติซ่อนอยู่ เพราะตอนที่ขุดมีคนพบทองอยู่ใต้ดิน แต่รุ่งเช้าคน ๆ นั้นก็ลาออกและไม่กลับมาอีกเลย”
 
“มีสมบัติ! ” พวกเราอุทานขึ้นพร้อมกัน
 
“ใช่! แต่ไม่มีใครยืนยันได้ว่าเป็นเรื่องจริง แต่เรื่องที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ.....ในการสร้างสะพานครั้งนี้มีการสังเวยคนจริง ๆ ถึงหกคนเพื่อทำพิธีสะกดวิญญาณโบราณ”
 
“นี่มันเป็นเรื่องจริงหรือนี่!...สมัยนี้แล้วยังมีคนเชื่อเรื่องพวกนี้อีก” จ่าดำลูกน้องคนสนิทของผู้กององอาจโพล่งขึ้น
 
“นี่ถ้าจ่าดำไม่เชื่อ ก็ออกไปนั่งนอกวงสายสิญจน์ได้นะ” พ่อหมอสามตาพูดสวนหลังจ่าดำพูดจบ
 
“แหม! พ่อหมอก็ เราคนกันเองนะ เมื่อกี้ผมพูดเล่น” จ่าดำเหมือนรู้ตัว ก่อนที่จะแก้ตัวกับพ่อหมอ
 
“อันที่จริงพิธีแบบนี้เป็นเหมือนพิธีตัวตายตัวแทน สมัยก่อนตอนสร้างเมืองซุ้มประตูต่าง ๆ หรือเสาหลักเมือง ก็จะมีการนำผู้คนลงไปในหลุมก่อนจะตอกเสาลงไป เพื่อให้วิญญาณพวกนั้นปกปักษ์รักษาเมือง” หมอเรนเล่าเรื่องในประวัติศาสตร์
 
“ใช่..แถมพิธีนี้ถ้าเป็นคนท้องด้วย ก็จะยิ่งศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นไปอีก” พ่อหมอสามตาพูดเสริม
 
“แล้วมันจะเกี่ยวกับฆาตกรยังไงครับ ผมฟังแล้วก็ยังดูเหมือนเรื่องเล่ามากกว่าเรื่องจริง” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดขึ้น
 
“ตอนแรกผมก็คิดแบบนั้น แต่พอพ่อหมอพูดผมก็เริ่มจับทางเรื่องบางอย่างได้” ผู้กององอาจพูดตอบ
 
“เพราะมีบางเรื่องที่น่าจะเกี่ยวข้องกัน นั่นก็คือหลังจากสอบถามชาวบ้านและคนที่เคยทำงานกับผู้รับเหมาแล้ว หลายคนพูดถึงผู้ชายคนหนึ่งมาตามหาเมียที่กำลังตั้งท้อง เขาไปยังแคมป์คนงานทุกวัน เหมือนคนบ้า!” เมื่อผู้กององอาจพูดจบ พวกเราทุกคนก็อ้าปากค้าง
 
“นี่มัน...บังเอิญเกินไปแล้ว!” ฉันตกใจจนต้องพูดออกมาในวงประชุม
 
“ใช่ผมก็คิดว่ามันบังเอิญเกินไป แต่ผมก็แอบคิดว่าชายคนนี้อาจจะมีส่วนเชื่อมโยงกับเรื่องฆาตกรหรือไม่ก็......” ผู้กององอาจพูดแล้วก็ค้างเอาไว้
 
“เขาอาจจะเป็น...ฆาตกรเพื่อล้างแค้น!” พวกเราทุกคนต่างพูดออกมาเสริม เพื่อให้ประโยคสมบูรณ์
 
“ใช่! เราต้องตามสืบดูว่าชายคนนั้นเป็นใคร และเมียของเขาหายตัวไปที่แคมป์คนงานจริงหรือไม่ ส่วนคุณทับทิม วันนี้พวกเราได้รับวันเดือนปีเกิดและเวลาตกฟากของ จ่ามีกับผู้พันตุ๋ยแล้ว ผมอยากให้คุณช่วยทำนายหน่อย ว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกับฆาตกรอย่างไร” ผู้กององอาจพูดจบ ก็ส่งโทรศัพท์มือถือให้ฉันดูข้อมูลข้างใน
 
“ได้ค่ะ งั้นเดี๋ยวหนูจะลองดูนะคะ!” ฉันตอบกลับผู้กอง หลังดูข้อมูลในโทรศัพท์และจดจำเรียบร้อย
 
ฉันนั่งหลับตาและเริ่มทำการติดต่อกับดวงดาวของจ่ามีก่อน ไม่นานดวงดาวของจ่ามีก็ติดต่อกลับมาและใช้ร่างของฉันเป็นสื่อกลาง
 
“พวกเจ้าอยากรู้เรื่องอะไรของชายคนนี้” เสียงพูดของฉันกลายเป็นเสียงของชายวัยกลางคน
 
“พวกเราอยากรู้เรื่องของจ่ามี ว่าเกี่ยวข้องกับฆาตกรอย่างไร?” ผู้กององอาจถามฉัน ที่ตอนนี้เป็นสื่อกลางของดวงดาวจ่ามี
 
“มันเป็นคนช่วยหาตัวผู้หญิงท้องไปให้หมอผีเขมรคนนั้นทำพิธีและผู้หญิงคนนั้นก็เกี่ยวพันกับฆาตกร” ดวงดาวตอบคำถามที่ถามมา
 
“แล้วท่านรู้ไหม ว่าผู้หญิงคนนั้นเกี่ยวข้องกับฆาตกรอย่างไร?” ผู้กององอาจถามต่อ
 
“ข้ามองไม่เห็นฆาตกร จึงตอบข้อนี้ไม่ได้ แต่ว่า....” ดวงดาวพูดไม่จบประโยค
 
“แต่ว่าอะไรครับ?” ผู้กององอาจถามต่อ ท่ามกลางความอยากรู้ของผู้คนในห้อง
 
“ข้าตอบได้แค่เรื่องของจ่ามี มันเป็นคนโลภจึงทำเรื่องแบบนั้น เพราะฝ่ายนั้นยื่นข้อเสนอมากมายให้กับมัน และตอนนี้ผลกรรมที่มันทำก็ได้ตามทันมันแล้ว”
 
“หมาย...หมายความว่าอย่างไรครับ?” ผู้กององอาจถามต่อ
 
“ก็หมายความว่า ตอนนี้มันตายไปแล้ว และพวกเจ้าเองก็กำลังจะเป็นรายต่อไป!” เมื่อดวงดาวพูดจบ
 
ไฟในห้องก็ดับทันที!
 
“เฮ้ย! บรรยากาศแบบนี้มันมาอีกแล้ว!” จ่าดำพูดขึ้น พลางเบียดตัวเข้ามาในวง
 
ทันใดนั้น! เจ้าข้าวตูก็หอนขึ้น อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
 
“โบร๋ววว!”
 
พร้อมบรรยากาศที่เย็น วังเวง จนน่าขนลุก!
 
...............................
 
ตอนต่อไป
ตอนที่ 28 ค่ำคืนแห่งการหลอกหลอน