ความรัก...ชั่วพริบตา
ตอนที่ 34 เรื่องราวความเป็นมา
“นี่ก็คือหมอเทียง! หมอผีชาวเขมรที่เป็นคนทำพิธีเมื่อสิบปีก่อน” จ่าดำพูดขึ้นก่อนเปิดภาพของชายชราผู้หนึ่ง หนวดเคราขาวยาวรุงรัง สักยันต์เต็มตัว ปรากฏขึ้นบนจอโปรเจคเตอร์
 
“หมอเทียงเป็นหมอผีที่ใช้อาคมโบราณและมีชื่อเสียงในวงลับ เพราะค่าตัวแพงมาก คนที่รู้จักจึงจำกัดอยู่ในวงเฉพาะของผู้ที่มีฐานะเท่านั้น”
 
“มีข่าววงในว่าหมอเทียง ก่อนหน้าจะทำพิธีที่สะพาน หมอเทียงเคยถูกจับกุมจากคดีย่างศพเด็กเพื่อทำกุมารทองมาหลายครั้ง แต่ด้วยลูกศิษย์ลูกหาในเมืองไทยเยอะมาก ทั้งนักการเมือง เศรษฐีและข้าราชการชั้นสูง ทำให้หมอเทียงไม่ถูกดำเนินคดีและเดินทางกลับไปที่ประเทศของตัวเองอย่างง่ายดาย” จ่าดำรายงานจบ ก็ขึ้นภาพสไลด์ใหม่
 
“ส่วนบุคคลทั้งสิบนี้ คือผู้บริหารของบริษัท “นภาพรศรัทธาทิพยวิศวกรรม”  ที่เป็นผู้รับเหมาสร้างสะพาน หกในสิบคนคือเหยื่อล่าสุดของฆาตกร ตอนนี้เหลืออยู่เพียงแค่สี่คน” รูปบนสไลด์มีคนหกคนถูกกากบาท เพื่อบอกให้รู้ว่าใครเสียชีวิตไปแล้วบ้าง
 
“คนแรกที่ยังมีชีวิตอยู่ก็คือ "กำนันประจวบ" เป็นผู้กว้างขวางคนหนึ่งแถบอยุธยา คนนี้เป็นคนติดต่อผู้พันตุ๋ยกับจ่ามีมาร่วมงานเมื่อตอนที่ทำพิธี” เมื่อจ่าดำพูดจบ ฉันก็นึกถึงทั้งสองคนที่เสียชีวิตไปแล้วจากฝีมือของฆาตกร พลางมองดูภาพชายไว้หนวดที่ใส่ชุดซาฟารีสีดำ
 
“คนต่อไป "คุณหญิงทองเครือแก้ว" เป็นข้าราชการระดับสูงในกระทรวงหนึ่ง มีข่าวว่าชอบรับเงินใต้โต๊ะและช่วยวิ่งล็อบบี้งานราชการให้กับบริษัท” ภาพผู้หญิงสูงวัยคนหนึ่ง  รูปร่างท้วมตามวัย ผิวพรรณดีและมีเค้าหน้าบ่งบอกว่าเป็นคนสวยในสมัยก่อนปรากฏขึ้น
 
"คนที่สาม "นายชินกร" เป็นนักธุรกิจใหญ่ที่เปิดบริษัทรับเหมาบังหน้า แต่เบื้องหลังเป็นนายหน้าปล่อยกู้นอกระบบและเจ้ามือหวยใต้ดินรายใหญ่" ภาพชายวัยกลางคนใส่แว่นที่ดูดีในชุดสูทปรากฏขึ้นแทนภาพเดิม
 
“ส่วนคนสุดท้าย "ท่านวีระ" หัวหน้าพรรคการเมืองขนาดกลาง ที่ตอนนี้เป็นรัฐมนตรีอยู่ เป็นประธานบริษัทแห่งนี้ นอกจะเปิดบริษัทรับเหมาก่อสร้างแล้ว เบื้องหลังมีการเปิดบ่อนการพนันและค้ามนุษย์ แต่ด้วยเส้นสายที่มี ทำให้ตำรวจไม่สามารถสาวถึงตัวได้” ภาพชายร่างอ้วนเชื้อสายจีนในชุดสูทปรากฏขึ้น ซึ่งเป็นภาพที่ทุกคนคุ้นหน้าคุ้นตาดีเพราะออกสื่อเป็นประจำ
 
“ส่วนผู้ชายคนนี้! เป็นอีกคนที่พวกเราต้องระวังเป็นพิเศษ” จ่าดำเปิดภาพสไลด์ภาพใหม่ขึ้นมา เป็นภาพของชายร่างกำยำคนหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ ผิวสองสี อยู่ในเครื่องแบบของทหาร
 
“เขามีชื่อว่าสิงห์ เคยเป็นทหารอยู่ในหน่วยซีล ตอนนี้ลาออกมาเป็นมือขวาของ ท่านวีระที่เป็นรัฐมนตรี เชี่ยวชาญเรื่องอาวุธปืนและจู่โจม ที่สำคัญยังเคยเป็นลูกน้องเก่าของผู้พันตุ๋ยที่เพิ่งเสียชีวิตไปครับ!”
 
“บริษัทนี้นี่มันรวมตัวร้าย มาอยู่รวมกันเหมือนในหนังเลยนะนี่” ฉันพูดขึ้นหลังจากรู้จักคนเหล่านี้
 
“แล้วเรื่องเกี่ยวกับประวัติของคนที่เราคาดว่าเป็นฆาตกร มีความคืบหน้าไหม?” ผู้กององอาจถามจ่าดำ
 
“มีครับ! นี่ก็คือประวัติของผู้ชายที่ชื่อว่า สิน สีมุต” จ่าดำพูดชื่อพลางเปิดภาพชายหน้าตาบ้าน ๆ เหมือนคนงาน รูปร่างสูงโปร่ง ราว180 เซนติเมตร
 
“นายสิน สีมุต เป็นแรงงานจากกัมพูชา เขาเดินทางเข้ามาเมืองไทยอย่างผิดกฏหมายพร้อมกับภรรยาเมื่อนานมาแล้ว ทั้งคู่ทำงานย้ายที่ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาอยู่ที่อยุธยาช่วงที่กำลังก่อสร้างสะพาน ตอนนั้นเขาทำงานเป็นลูกจ้างของโรงน้ำแข็งแห่งหนึ่ง ช่วงที่ก่อสร้างสะพานภรรยาของเขาก็ตั้งท้องพอดี”
 
“วันหนึ่งญาติของจ่ามีที่ทำงานอยู่สถานพยาบาล กำลังหาหญิงที่ตั้งครรภ์ชาวกัมพูชาเพื่อไปรับเงินและค่าเลี้ยงดูบุตรจากเศรษฐีคนหนึ่งตามความเชื่อเรื่องแก้กรรม  จนมาพบกับภรรยาของนายสินเข้า หลังจากพาไปรับเงินแล้วก็ไม่มีใครเห็นเธออีกเลย” จ่าดำรายงานพลางเปิดรูปของผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นมาบนจอ
 
“จากนั้น นายสินก็มาตามหาภรรยาที่ไซท์งานก่อสร้างทุกวันเหมือนคนบ้า ช่วงแรก ๆ ก็แค่โดนไล่ออกไป แต่พักหลังก็มีการถูกทำร้ายร่างกายด้วย แต่นายสินก็ไปแจ้งความไม่ได้ เพราะเข้าเมืองมาแบบผิดกฏหมาย
 
“จนกระทั่งเขาสิ้นหวัง จึงยอมไปแจ้งตำรวจเรื่องที่ภรรยาหายตัวไปและยอมถูกส่งตัวกลับประเทศ”
 
“หลังจากถูกส่งตัวกลับไป เมื่อสองปีก่อน ก่อนที่จะมีคดีฆาตกรหมายเลข 6 มีชาวบ้านให้ข้อมูลว่าเคยเห็นชายที่ลักษณะคล้าย นายสินเดินอยู่แถวสะพานอยู่ช่วงหนึ่งครับ เราจึงคาดว่าเขาน่าจะแอบเดินทางเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติอย่างผิดกฎหมาย และเริ่มทำการก่อคดีครับ” จ่าดำจบรายงานทั้งหมด เจ้าหน้าที่ก็เปิดไฟห้องประชุมจนสว่าง
 
“แล้วทำไม นายสิน ถึงไม่ไปแก้แค้นกับคนที่ทำพิธีหรือหมอผีคนนั้น แต่มาทำร้ายคนที่ไม่เกี่ยวข้องแทน?” ผู้กององอาจถามขึ้นในที่ประชุม
 
“ผมว่าเรื่องนี้น่าจะอยู่ที่วิญญาณโบราณที่ถูกสะกดวิญญาณครับผู้กอง” พ่อหมอสามตาพูดตอบ
 
“ในวิชาอาคมมีศาสตร์มืดของการคลายสะกดวิญญาณอย่างหนึ่ง ก็คือการเอาวิญญาณของผู้ที่เกี่ยวข้องหรือญาติของผู้ที่เกี่ยวข้องกับของสิ่งนั้น มาเพื่อคลายสะกด และวิญญาณโบราณพูดเองว่าเป็นคนสอนวิชาอาคมให้กับฆาตกร ผมว่าตอนนั้นวิญญาณโบราณคงเป็นคนสั่งนายสิน” พ่อหมอสามตาอธิบายต่อ
 
“แต่การทำงานของนายสิน ละเอียดและไม่เคยทิ้งร่องรอยให้ตามจับได้เลย แถมยังเหมือนรู้ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของเราเหมือนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ผมว่าประเด็นนี้มันดูจะขัดแย้งกันกับที่เคยเป็นแค่แรงงานต่างด้าว” ผู้กององอาจวิเคราะห์
 
“แล้วถ้านายสินใช้วิญญาณโบราณช่วยในการสืบหาผู้คนล่ะครับ พอเป็นไปได้ไหม เพราะวิญญาณโบราณก็น่าจะรู้ตัวคนที่จ้างหมอผีมาทำพิธีอยู่แล้ว” หมอเรนแสดงความเห็นเพิ่มเติม
 
“ความคิดนี้ก็เป็นไปได้นะครับผู้กอง เพราะผู้กองก็เห็นแล้วว่าขนาดตอนกลางวันพวกมันยังมีฤทธิ์ขนาดนี้ การแค่หาคนมาทำพิธีคลายสะกดแล้วบอกให้นายสินลงมือก็น่าจะไม่ใช่เรื่องยาก” พ่อหมอสามตาพูดเสริม
 
“ถ้าอย่างนั้นก็สรุปเบื้องต้นว่า มีการสะพานบนพื้นที่สุสานโบราณ วิญญาณโบราณเลยขัดขวางไม่ให้ก่อสร้าง ผู้รับเหมาเลยแก้ไขด้วยการติดต่อหมอผีเขมรมาทำพิธีด้วยการสังเวยผู้หญิงท้องหกคนเพื่อสะกดวิญญาณ และฆาตกรก็คือสามีของหนึ่งในผู้หญิงท้องที่ถูกสังเวย ที่เริ่มก่อคดีหลังจากได้รับความช่วยเหลือของวิญญาณโบราณถูกต้องไหม?” ผู้กององอาจกล่าวสรุปเรื่องราว
 
“จะว่าอย่างนั้นก็ถูกต้องครับ แต่หากทั้งหมดเป็นเรื่องจริง ทั้งผู้บริหารที่ยังมีชีวิตอยู่กับหมอผีก็ต้องถูกจับด้วย ฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา” จ่าดำพูดเสริม
 
“นี่ถ้าพวกนักข่าวรู้เข้าเรื่องรายละเอียดของคดี สงสัยทางหน่วยเราคงจะยากในการปิดข่าวเรื่องโปรเจคผู้นำทาง เพราะเรื่องราวมันดูน่าเหลือเชื่อเกินไป” ผู้กององอาจพูดต่อ
 
“นั่นคงต้องรอดูตอนท้ายครับผู้กอง ว่าแต่ตอนนี้เราขมวดข้อมูลครบแล้ว จะดำเนินการอย่างไรต่อครับผู้กอง” จ่าดำถามผู้กององอาจ
 
“หากนายสินเป็นฆาตกรหมายเลข 6 จริง ดูจากการที่ลงมือกับผู้บริหารของบริษัทรับเหมาทั้งหกคนแล้ว ผมว่าเหยื่อรายต่อไปน่าจะเป็นสี่คนที่เหลือ สั่งให้คนของเราตามประกบทั้งสี่คนนี้ไว้ ผมว่าอีกไม่นานมันต้องลงมือแน่ ๆ”
 
“ส่วนนายเทียงที่เป็นหมอผี ผมสังหรณ์ใจว่าทางผู้บริหารของบริษัทรับเหมาน่าจะเรียกตัวเพื่อมาช่วยเรื่องนี้ สั่งให้คนของเราสังเกตบุคคลที่ติดต่อกับพวกผู้บริหารที่เหลือด้วย”
 
“ส่วนทีมผู้นำทางทุกคน ผมอยากรู้ว่าหากมีพิธีนี้จริง ศพของผู้หญิงท้องทั้งหกคนน่าจะถูกฝังอยู่ในตำแหน่งไหน เพื่อที่จะได้มีหลักฐานในการจับกุมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด” ผู้กององอาจสั่งงานในรวดเดียว
 
“รับทราบ!” ทุกคนในห้องประชุมต่างก็ตอบรับในคำสั่งและแยกย้ายกันไปทำงาน
 
...............................
 
วันรุ่งขึ้น ณ มุมหนึ่งในกรุงเทพ ฯ รถตู้สีดำคันหนึ่งก็จอดอยู่ที่หน้าประตูของคฤหาสน์หรูกลางใจเมือง
 
เมื่อประตูรถเปิดออกร่างของชายชราผู้หนึ่งก็ลงมาจากรถ สายตาของเขามองมาทางกลุ่มคนที่มาต้อนรับ ซึ่งในนั้นมีอยู่สี่คนที่ดูเหมือนเป็นผู้บริหาร
 
“มิน่าถึงได้เรียกกูมาช่วย เหลือกันอยู่แค่นี้แล้วนั่นเอง” พ่อหมอเทียงพูดกับผู้บริหารทั้งหมดที่เหลืออยู่ ก่อนยื่นกระดาษใบหนึ่งให้ทั้งสี่คน
 
“ไปซื้อของทำพิธีทั้งหมดตามนี้ พรุ่งนี้กูจะเริ่มงานตามล่าไอ้ฆาตกรนั้นให้ ฮ่า ๆ ๆ ”
 
..................
ตอนต่อไป
ตอนที่ 35 การต่อสู้ของคนไร้ทางออก