ความรัก...ชั่วพริบตา
ตอนที่ 35 การต่อสู้ของคนไร้ทางออก
ขณะที่คฤหาสน์หลังหนึ่งกำลังวุ่นวายกับการมาถึงของพ่อหมอเทียงนั้น
 
อีกมุมหนึ่งของกรุงเทพมหานคร ในเพิงพักสักกะสีเก่าซอมซ่อ ชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังนั่งอยู่ด้านในพร้อมถือรูปถ่ายเก่าในมือ เขามองรูปถ่ายใบนั้นด้วยแววตาเศร้า แม้ว่าชายหญิงทั้งสองคนในรูป กำลังยิ้มอย่างมีความสุขก็ตาม
 
“อีกไม่นานแล้วนะ พี่จะส่งคนที่ฆ่ามาศกับลูกไปลงนรกให้หมด เมื่องานเสร็จแล้ว พี่จะไปหามาศกับลูกบนสวรรค์นะ” ชายหน้าตาบ้าน ๆ ผิวสองสี รูปร่างสูงโปร่งพูดคนเดียวกับรูปถ่าย พลางคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่ผ่านมา
 
เขาก็คือ “สิน สีมุต” บุคคลที่ผู้กององอาจกำลังตามหาตัวอยู่นั่นเอง
 
สินนึกย้อนถึงชีวิตวัยเด็กตอนที่อยู่ประเทศกัมพูชา แม้ผู้คนส่วนใหญ่จะเป็นเกษตรกร แต่หมู่บ้านของเขากลับแร้นแค้นและห่างไกลความเจริญ
 
ตั้งแต่ยังเด็กเขาไม่เคยได้เห็นหน้าพ่อและแม่ เขาอาศัยอยู่กับชายกลางคนผู้หนึ่งที่ชื่อว่า “โสพล” ชายคนนี้เล่าว่า เขาเป็นเพื่อนของพ่อและแม่ของสิน ที่เสียชีวิตในช่วงเขมรแดงเรื่องอำนาจ ยุคนั้นประเทศกัมพูชาประกาศปิดประเทศ ผู้คนไม่มีชนชั้น ทุกคนถูกเกณฑ์ออกจากเมืองหลวงสู่ชนบทเพื่อไปเป็นเกษตรกร ประชาชนที่เคยค้าขาย เป็นครูอาจารย์และอีกหลากหลายอาชีพ ต้องใส่ชุดดำเพื่อไปทำเกษตรในป่าเขา ทุ่งนา ด้วยความเชื่อของผู้นำที่ว่า กัมพูชาจะมั่งคั่งได้ เพราะการเกษตร… เขมรทุกคนต้องเป็นชาวนา!
 
ด้วยแนวความคิดที่ไม่อยากให้ผู้คนฉลาดและควบคุมได้ง่าย ทำให้ผู้คนส่วนใหญ่ล้มตายกันเป็นจำนวนมาก เพราะขาดอาหาร เจ็บป่วย ถูกทรมานและฆาตรกรรม จนผู้คนเรียกพื้นที่แห่งนี้ว่า “ทุ่งสังหาร หรือ Killing Field”
 
ซึ่งพ่อและแม่ของสินก็เสียชีวิตในที่แห่งนี้ด้วย!
 
ชายที่ชื่อโสพลช่วยดูแลเขาหลังจากที่ไม่มีพ่อและแม่ จนกระทั่งเขมรแดงหมดอำนาจ คนที่เหลือก็รอดตายและเดินทางแยกย้ายกลับภูมิลำเนาเดิม
 
นั่นคือสาเหตุที่ทำให้เขามาอยู่ที่นี่
 
แม้ที่นี่จะแร้นแค้น แต่ก็ดีไม่โดนบังคับเหมือนที่เดิม สินเริ่มมีเพื่อนเล่นมากขึ้น จนวันหนึ่งเขาก็ได้รู้จักกับมาศที่เป็นเด็กหญิงรุ่นเดียวกันที่อยู่ในหมู่บ้าน ทั้งคู่เติบโตมาด้วยกันจนกระทั่งชอบพอและเป็นสามีภรรยากัน ซึ่งตอนนั้นสินอายุได้สิบแปดปี
 
“สินเราจะย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวงจริงหรือ?” มาศถามเขาในวันหนึ่ง ขณะที่กำลังเก็บของ
 
ใช่อยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไร เราไปหางานทำในเมืองน่าจะมีโอกาสหาเงินได้มากขึ้น” สินตอบมาศ พลางมองดูสภาพแวดล้อมที่มีแต่ดินลูกรังและภาพถ่ายของโสพลที่เสียชีวิตไปแล้ว
 
ทั้งสองคนออกเดินทางจากหมู่บ้านเล็ก ๆ เข้าสู่กรุงพนมเปญที่เป็นเมืองหลวงด้วยหวังจะหางานทำและสร้างครอบครัว ซึ่งโชคดีที่ได้ทำงานในร้านอาหารเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ที่เจ้าของร้านก็เป็นคนกัมพูชาเหมือนกัน
 
แม้จะได้ค่าแรงที่น้อยแสนน้อย แต่ทั้งคู่ก็มีความสุขและตั้งความหวังว่าจะเก็บเงินเพื่อหาซื้อบ้านหลังเล็ก ๆ ในอนาคต
 
แต่เป็นธรรมดาของทุกสังคมที่ไม่ว่าประเทศไหนก็มีแต่การแบ่งชนชั้น....แม้แต่คนจนด้วยกัน!
 
“เอานี่ไปทำด้วย!” ชายร่างเล็กคนหนึ่ง ที่เป็นคนงานในร้านเหมือนกัน โยนจานชามกองใหญ่มาให้ สินและมาศล้างเพิ่มเติม เขามีชื่อว่า “พัน”
 
“มองอะไร! บ้านนอกอย่างพวกมึงมีงานทำก็ดีแล้ว หัดเคารพคนที่มาก่อนซะบ้าง ไม่พอใจก็ไปฟ้องเจ้าของร้านเอา” พันพูดจบก็หันเข้าห้องพักของตัวเอง โดยไม่สนใจสินและมาศอีก นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พันเอาเปรียบทั้งสองคน แต่ทำแบบนี้ตั้งแต่ทั้งสองคนเริ่มทำงานวันแรก
 
แม้สินและมาศจะอดทน แต่วันหนึ่งความอดทนก็หมดไปเมื่อพันนั่งดื่มเหล้าแล้วลวนลามมาศ โดยไม่สนใจสินที่กำลังนั่งล้างจานอยู่
 
จะรวยหรือจนทุกคนก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน สินโกรธจนเลือดขึ้นหน้า คว้ามีดที่อยู่ในครัวแล้วแทงพันอย่างไม่ยั้งมือ
 
พันเสียชีวิตทันทีและสินกับมาศต้องรีบหนีออกมาในวันนั้น!
 
ทั้งคู่หลบหนีตำรวจและตัดสินใจหนีข้ามฝั่งมาประเทศไทยแบบผิดกฎหมาย!
 
แม้ในประเทศไทยจะดูเจริญกว่าประเทศของทั้งคู่ แต่การดูถูกเหยียดหยามผู้คนต่างด้าวก็ดูจะหนักกว่าตอนอยู่ที่เดิมเสียอีก
 
แต่สินและมาศก็อดทนมาตลอด เพราะไม่สามารถกลับไปประเทศเดิมได้ ทั้งคู่เปลี่ยนที่ทำงานไปเรื่อย ๆ พร้อมกับหลบตำรวจ จนกระทั่งมาถึงอยุธยา ตอนนั้นมาศก็ตั้งท้องพอดี!
 
“พี่! ฉันไปเอาเด็กออกดีไหม ทุกวันนี้ก็อยู่กันแบบลำบาก ถ้ามีลูกเราจะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยง?” มาศปรึกษาสินในวันที่รู้ว่าตัวเองท้องได้สามเดือน
 
“อย่าพูดแบบนี้อีก พี่เป็นเด็กกำพร้าและฝันว่าจะมีครอบครัวที่สมบูรณ์ ไม่ต้องห่วงนะ พี่ก็แค่ทำงานหนักขึ้นมาศกับลูกจะได้ไม่ลำบาก ต่อไปชีวิตของเราจะได้สมบูรณ์สักที” สินบอกมาศ พลางดึงตัวมากอดด้วยความรักและความดีใจ
 
ตั้งแต่นั้น สินก็ทำงานทุกอย่าง ทั้งวันทั้งคืน เพื่อหวังจะหาเงินสำหรับสมาชิกใหม่
 
จนวันหนึ่ง! มาศหายตัวไปตอนที่ท้องได้เจ็ดเดือน
 
สินถามคนข้างบ้านจนได้รู้ว่ามีคนพามาศออกไปจากบ้าน บอกว่ามีเศรษฐีอยากแก้กรรมจะแจกเงินค่าทำคลอดและรับขวัญลูกของหญิงชาวกัมพูชา
 
สินจึงตามมาที่ไซท์ก่อสร้างและถามหาภรรยาของเขา
 
ช่วงแรก ๆ ทุกคนก็แค่ปฏิเสธและไม่ให้เข้าไปในไซท์งานก่อสร้าง แต่นานวันเข้าหลายคนก็เริ่มรำคาญและลงมือทำร้ายสิน จนกลายเป็นความบันเทิงของคนงานที่นี่!
 
“เฮ้ย! ไอ้บ้าตามเมียมันมาอีกแล้วว่ะ เอ้ามานี่ ๆ กูสงสารมึง กูจะบอกให้ก็ได้ว่าเมียมึงอยู่ที่ไหน” ชายรูปร่างผอมคนหนึ่งเรียกสินเข้าไปหา
 
“จริงนะ! อย่าหลอกผมนะ” สินทำท่าดีใจก่อนจะเดินเข้าไปหาชายคนนั้น
 
“เออ! แต่มึงต้องนวดขาให้กูก่อน ถ้ากูหายเมื่อยแล้วจะบอก” ชายร่างผอมสั่งสิน ซึ่งรีบเดินเข้ามาบีบนวดอย่างตั้งใจ
 
“นายหายเมื่อยหรือยังครับ เมียผมอยู่ที่ไหนนายช่วยบอกหน่อยได้ไหม?” สินถามชายร่างผมขณะที่กำลังบีบนวดอยู่
 
“กูบอกก็ได้ เมียมึงมันหนีตามชู้ไปทางโน้นแล้ว ถ้ามึงรีบตามไปตอนนี้ก็อาจจะทันนะ ฮ่า ๆ ๆ” ชายร่างผอมพูดแล้วหัวเราะ ทำให้เพื่อน ๆ ต่างหัวเราะตามในการที่ได้แกล้งสิน
 
“ไม่เมียฉันไม่ทำอย่างนั้น นายบอกฉันเรื่องจริงเถอะนะ” สินรีบลงมากราบไหว้กับพื้นด้วยความอยากรู้เรื่องราวของมาศ
 
เมื่อชายร่างผอมบ่ายเบี่ยง เขาก็กอดขาและถามอยู่นาน จนชายร่างผมรำคาญและจบด้วยการทำร้ายร่างกาย
 
สินใช้ชีวิตแบบนี้อยู่หลายปี ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรอยแผล รูปร่างของเขาที่เคยแข็งแรงกลายเป็นผอมแห้ง
 
จนวันหนึ่งเขาตัดสินใจไปแจ้งความคนหายที่สถานีตำรวจ และถูกจับตัวส่งกลับประเทศเนื่องจากลักลอบเข้าเมือง
 
โชคดีที่คดีฆ่าเพื่อนในร้านอาหารหมดอายุความไปแล้ว ทำให้สินไม่ถูกจับ เขาพยายามหางานทำใหม่โดยที่ยังไม่ลืมการตามหามาศและลูกของเขา จนเวลาผ่านไปหลายปี.....
 
คืนหนึ่งเขาก็ฝันถึงมาศ ในฝันนั้นมาศบอกเขาเรื่องราวการทำพิธีตอนสร้างสะพาน และบอกให้เขามาที่แห่งหนึ่งที่ แล้วเขาจะได้พบกับคำตอบของเรื่องนี้
 
นั่นทำให้สินตัดสินใจกลับมาที่เมืองไทยอีกครั้งแบบผิดกฎหมาย เขามาที่สะพานและได้พบกับวิญญาณโบราณ ที่ตอนนั้นหลักมนต์สะกดวิญญาณหลักหนึ่งทรุดตัว จึงทำให้วิญญาณโบราณตื่นขึ้นมาและพยายามหาคนมาช่วยทำลายหลักสะกดวิญญาณทั้งหมด
 
ซึ่งคนผู้นั้นก็คือสินนั่นเอง!
 
“เมียของมึงถูกพวกมันฆ่าตาย เพื่อมาเป็นหลักสะกดวิญญาณพวกกู มาช่วยกูทำลายอาคมพวกนี้ กูจะสอนอาคมให้มึงและช่วยมึงล้างแค้นให้เมียและลูกเอง ฮ่า ๆ ๆ ”
 
...........................
ตอนต่อไป
ตอนที่ 36 หลักสะกดวิญญาณทั้งหก