ความรัก...ชั่วพริบตา
ตอนที่ 36 หลักสะกดวิญญาณทั้งหก
“เรียบร้อยแล้วนะ หนูขอตัวพักก่อน ครั้งนี้หมดพลังไปเยอะจริง ๆ ” ฉันทำท่าหมดแรง หลังจากที่ถามดวงดาวของผู้เสียชีวิตทั้งหกคน ที่ถูกฆาตกรแขวนไว้ที่สะพาน
 
“เป็นอะไรมากไหม ดื่มน้ำก่อนนะ” ภูผารีบเขามาดูอาการของฉัน พร้อมยื่นขวดน้ำมาให้
 
“เรียบร้อยครับ! ทางเราได้ข้อมูลมาครบถ้วนพร้อมตำแหน่งของหลักสะกดวิญญาณ ที่คาดว่าจะมีหญิงสาวตั้งครรภ์ที่หายไปอยู่ที่นั่น”  จ่าดำบอกฉันหลังจากจบการทำนาย
 
ฉันพยักหน้ารับรู้ ก่อนที่จะนึกถึงเรื่องราวของผู้เสียชีวิตทั้งหกคน ที่ทำให้รู้ว่าจิตใจของคนเราอำมหิตได้มากแค่ไหน
 
ทั้งหกคนเป็นผู้บริหารของบริษัทรับเหมาสร้างสะพาน เบื้องหน้าก็เป็นคนปกติที่มีฐานะและครอบครัวที่ดี แต่เบื้องหลังกลับเต็มไปด้วยความโลภและทำทุกอย่างที่ผิดกฎหมาย แม้กระทั่งการฆ่าคน
 
เพียงเพราะต้องการแค่ความร่ำรวย
 
อันที่จริงตอนที่หมอเทียง หมอผีชาวเขมรบอกเรื่องการสะกดวิญญาณด้วยการ ใช้ร่างของหญิงสาวชาวเขมรที่ตั้งครรภ์จำนวนหกคนมาทำพิธีนั้น  หากเป็นคนธรรมดาก็คงปฏิเสธ
 
แต่ผู้บริหารทั้งสิบคนต่างไม่สนใจ อยากให้งานเสร็จเร็วขึ้นรวมถึงการได้ยินหมอเทียงพูดว่า
 
“ในนั้นมีสมบัติซ่อนอยู่ แต่ต้องรอให้ผ่านไปก่อนสิบปี พวกมึงถึงจะเข้าไปเอาได้ เพราะตอนนั้นวิญญาณโบราณเหล่านี้ก็จะสลายไปเองด้วยพิธีสะกดวิญญาณของข้า” เพียงได้ยินคำว่าสมบัติ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก็หายไป
 
“งั้นเราก็เลือกเอาพวกผู้หญิงท้องเขมรที่เข้าเมืองแบบผิดกฎหมายสิ คนพวกนี้หายไปก็ไม่มีใครกล้าแจ้งความหรอก ถึงจะแจ้งความไปตำรวจก็ไม่สนใจอยู่ดี” ผู้บริหารคนหนึ่งพูดขึ้น
 
“ใช่ ๆ หาคนที่ทำงานเกี่ยวกับสาธารณสุขไปลงพื้นที่ให้พวกเราก็ได้ งานดีเงินเดินแบบนี้ใครบ้างจะไม่อยากเอา” ผู้บริหารอีกคนพูดเสริม
 
“ไปบอกคนของเรา ให้อ้างว่ามีเศรษฐีจะแจกเงินเพื่อแก้กรรม คนพวกนี้เห็นเงินหลักหมื่นก็ยอมทุกอย่างแล้ว ฮ่า ๆ ๆ”ชายที่เป็นรัฐมนตรีและประธานบริษัทพูดขึ้นพลางหัวเราะ
 
นั่นเป็นสิ่งที่ฉันคิดว่า...คนพวกนี้สมควรตายจริง ๆ!
 
.......................................
 
“เธอเป็นอย่างไรบ้าง ดีขึ้นไหม?” ภูผาถามฉันอีกครั้ง ตอนที่เดินมาส่งที่ห้อง
 
“เราสบายดีนายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก อ้อ! แล้วที่นายบอกว่าอยากไปเยี่ยมแม่ ผู้กององอาจ อนุญาตไหม?” ฉันถามภูผา หลังจากที่คุยกันวันก่อนว่าเขาอยากไปเยี่ยมแม่ของเขา
 
“ผู้กองบอกว่าช่วงนี้ยังอันตรายอยู่ อยากให้เรารออีกนิด” ภูผาพูดแล้วก็ทำหน้าเศร้า เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเขาทำหน้าตาแบบนี้
 
“ทับทิม....เธอว่า....แม่เราจะรักษาได้ไหม? ”  ภูผาถามฉันเรื่องแม่ของเขา
 
“ต้องหายสิ ดวงดาวไม่เคยโกหก พวกเขาเฝ้ามองดูพวกเราตั้งแต่เกิดและรู้เรื่องของเราดีมากกว่าใคร ๆ แถมหมอวิทก็นิสัยดีและเก่งมาก ๆ นายไม่ต้องกังวลนะ” ฉันพูดปลอบใจภูผา และแอบเห็นเขาใช้มือปาดน้ำตาที่หางตา
 
“ขอบคุณเธอมากนะ ขอบคุณสำหรับทุก ๆ อย่างเลย” ภูผาพูดจบก็เดินกลับไปที่ห้องพัก
 
ฉันมองภาพของผู้ชายคนหนึ่งที่เคยดูแข็งแรงแต่ตอนนี้กลับดูอ่อนแอเพราะความเป็นห่วงแม่ ในใจคิดอยากให้ตำรวจจับตัวฆาตกรกับผู้คนที่ทำพิธีได้โดยเร็วจริง ๆ ภูผาและฉันจะได้กลับไปใช้ชีวิตปกติเสียที
 
โฮ่ง! ข้าวตูดูเหมือนจะรู้ว่าฉันคิดอะไรมันเห่าเหมือนกับจะบอกว่าเห็นด้วย
 
“ไปกินข้าวกันดีกว่า วันนี้เดี๋ยวแม่จัดเนื้อชุดใหญ่ให้นะข้าวตู” ฉันบอกข้าวตู ที่ตอนนี้กำลังสั่นหางและแลบลิ้นด้วยความดีใจ
 
            ....................................
 
“ผู้กองครับ! คนของเรารายงานว่าบ้านของท่านวีระ ประธานบริษัทมีความเคลื่อนไหวครับ เราพบว่ามีชายชราผู้หนึ่งที่คาดว่าจะเป็นหมอเทียงเดินทางมาถึงที่นี่แล้ว และตอนนี้กำลังให้คนเตรียมของสำหรับทำพิธีบางอย่างครับ” จ่าดำรายงานผู้กององอาจ
 
“มากันครบแบบนี้ ต้องรีบหาหลักฐานศพของผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ทั้งหกคนให้ได้ จะได้มีหลักฐานเอาผิดพวกมัน และเรื่องของนายสิน สีมุตเป็นอย่างไรบ้าง?” ผู้กององอาจถามต่อ
 
“ตอนนี้ยังไม่มีข่าวเพิ่มเติมครับ แต่ทางทีมมองว่าหากตามกลุ่มผู้บริหารและหมอเทียงต่อไป นายสิน น่าจะปรากฎตัวแน่นอนครับ!” จ่าดำสรุปสถานการณ์
 
“ตามทีมผู้นำทางและผู้เกี่ยวข้องทุกคน คืนนี้พวกเราไปค้นหาหลักสะกดวิญญาณกันและให้ทีมที่อยู่บ้านท่านวีระ คอยรายงานเหตุการณ์ตลอด” ผู้กององอาจพูดจบก็ลุกขึ้นเพื่อปฏิบัติงานทันที
 
“รับทราบครับ!” จ่าดำตอบรับคำสั่ง
 
...........................
 
ในคืนนั้นพวกเราต่างก็เดินตามจุดแต่ละจุดที่ทำพิธีสะกดวิญญาณ หมอเรนใช้จิตสัมผัสของตัวเองช่วยในการค้นหาเพื่อให้ได้ตำแหน่งที่แน่นอนมากขึ้น
 
“ตรงนี้แหละครับ! ผมสัมผัสได้ถึงแรงอาฆาตของวิญญาณมากว่าจุดอื่น” หมอเรนชี้จุด ๆ หนึ่งที่เป็นพื้นที่ใต้สะพาน ที่ถูกแผ่นปูนปูทับอยู่
 
ตอนนี้ทีมเจ้าหน้าที่ก็นำอุปกรณ์เครื่องมือในการขุดออกมาและเริ่มที่จุดนั้นเป็นจุดแรก
 
“นี่ยังดีนะที่ไอ้หมอผีคนนั้นมันไม่เอาร่างของทั้งหกคน ฝังไว้ที่หลุมเสาหลักของสะพาน แต่เอามาฝังไว้รอบ ๆ สุสานโบราณเพื่อสะกดวิญญาณ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงหมดทางที่จะขุดขึ้นมาได้” พ่อหมอสามตาพูดขึ้นขณะที่มองเจ้าหน้าที่กำลังขุด
 
“ว่าแต่ทำไมผู้กองถึงเลือกมาขุดในตอนกลางคืนแทนล่ะครับ ผมว่าบรรยากาศมันดูวังเวงนะครับ” จ่าดำพูดขึ้น พลางมองบรรยากาศรอบ ๆ ที่ดูวังเวง
 
“กลางวันคนเยอะ มันจะดูเด่นเกินไป แต่แถวนี้แค่สามทุ่มก็ไม่มีคนเดินแล้ว จ่าอย่าพูดให้คนอื่นกลัวสิ!” ผู้กององอาจอธิบายและดุจ่าดำ
 
“ขอโทษครับผู้กอง ต่อไปผมจะระวังปากครับ” จ่าดำทำท่าหงอยและเดินออกไปช่วยทีมงานขุดต่อ
 
หนึ่งชั่วโมงต่อมา เจ้าหน้าที่ก็พบของบางอย่างอยู่ใต้ดิน
 
“ผู้กองครับ! เราพบวัตถุชิ้นหนึ่ง เหมือนไหใบใหญ่ เดี๋ยวผมจะให้รถขุดลองยกขึ้นมานะครับ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตะโกนขึ้นมา ก๋อนเรียกรถมายกของชิ้นนั้น
 
เมื่อของชิ้นนั้นถูกยกขึ้นมา พวกเราก็เห็นว่ามันเป็นเหมือนตุ่มน้ำดินเผา ที่มีลวดลายอักขระยันต์โบราณเขียนไว้ที่รอบ ๆ อย่างแน่นขนัด ด้านบนมีผ้ายันต์ผืนใหญ่ที่มัดด้วยสายสิญจน์เก่า ๆ ขนาดเท่าเชือกมัดอยู่
 
“อย่าเพิ่งแตะต้อง ข้างในมีของแรงบรรจุอยู่ ขอผมทำพิธีก่อน” พ่อหมอสามตาตะโกนบอกทุกคน ก่อนเดินออกมาข้างหน้าแล้วเริ่มสวดทำพิธี
 
“โอม!.....”
 
ตอนนี้ทุกคนกำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ว่าข้างในจะมีสิ่งของที่ตามหาอยู่หรือไม่ จนกระทั่ง!
 
“เอาละ....เปิดได้!” พ่อหมอสามตาสั่ง พลางถอยออกมาให้เจ้าหน้าที่เข้าไปเปิดผ้ายันต์ที่ปิดไว้
 
ทันทีที่ผ้ายันต์สีแดงเปิดออก สัตว์มีพิษต่าง ๆ ก็กรูกันออกมาเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นตะขาบ งู แมงมุม แมลงสีดำต่าง ๆ จนทุกคนถอยที่เห็นต่างถอยกรูกันทันที
 
“นี่มันใช้พิธีศาสตร์มืดโบราณที่โหดเหี้ยมมาก ถึงกับจับเอาคนเป็น ๆ ใส่ในตุ่ม ก่อนจะใส่สัตว์มีพิษตามลงไป ให้ค่อย ๆ กัดกินคนผู้นั้นเป็นอาหาร” พ่อหมอสามตาอธิบายขั้นตอนของพิธีกรรม
 
“ผู้กองครับ เราเจอโครงกระดูกอยู่ด้านในครับ มีอยู่สองโครง คาดว่าน่าจะเป็นแม่และลูกในท้องครับ” เจ้าหน้าที่รายงาน ก่อนนำรูปถ่ายจากมือถือมาให้พวกเราดู
 
“ไอ้พวกเลว! ทำไมถึงได้อำมหิตกันขนาดนี้” ฉันสบถออกมาด้วยความโกรธเมื่อเห็นภาพโครงกระดูกของผู้เป็นแม่กำลังเอามือกอดท้องของตัวเอง ราวกับกำลังปกป้องลูกของตัวเองจากสัตว์พิษเหล่านั้น
 
“ใช่พวกมันเลวจริง ๆ คอยดูนะด้วยหลักฐานเหล่านี้ ผมจะเอาพวกมันมาลงโทษให้ได้” ผู้กององอาจพูดขึ้น ก่อนกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
 
........................
 
ในขณะเดียวกัน บนรถตู้สีดคันหนึ่ง ชายชราในชุดขาวที่สักยันต์เต็มตัว จู่ ๆ ก็กระอักเลือดออกมา
 
“อั่กก!”
 
“พ่อหมอเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” สิงห์ชายร่างกำยำที่เป็นมือขวาของท่านวีระ ถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง
 
“ข้าไม่เป็นไร! แค่มีคนมาทำลายหลักสะกดวิญญาณของข้า ด้วยวิชากระจอก อีกไม่ถึงชั่วโมงพวกเราก็น่าจะถึงสะพานแล้ว คอยดูเถอะ! เมื่อถึงแล้ว ข้าจะจัดการพวกมันด้วยวิชาศาสตร์มืดที่ทรมานกว่าหลักสะกดวิญญาณหลายเท่า ฮ่า ๆ ๆ”
 
.......................
 
ตอนต่อไป
ตอนที่ 37 ศึกจอมขมังเวทย์