ความรัก...ชั่วพริบตา
ตอนที่ 38 วิญญาณเฝ้าสมบัติ
ในขณะที่ด้านหนึ่ง...เป็นการต่อสู้ของจอมขมังเวทย์!
 
อีกด้านหนึ่งกลับเป็นการค้นหาสถานที่แห่งหนึ่ง นั่นก็คือประตูทางเข้าของสุสาน!
 
“หัวหน้าหน้าครับ! ตรงจุดนี้แหละครับที่หมอเทียงบอกว่าเป็นทางเข้าสุสานโบราณ” ชายชุดดำคนหนี่งแจ้งกับนายสิงห์ มือขวาของรัฐมนตรีวีระ
 
“งั้นก็ขุดเลย เร่งมือหน่อยหลังจากได้สมบัติแล้วพวกเราจะได้รีบไป” นายสิงห์ออกคำสั่งกับลูกน้องสิบกว่าคน ที่ยืนอยู่ตรงนั้น
 
ขณะที่ทุกคนเริ่มลงมือขุดดินเพื่อหาประตูทางเข้านั้น ฉันกับข้าวตู, ภูผาและผู้กององอาจ ก็กำลังเดินอยู่ในอุโมงค์แห่งหนึ่ง ที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่พวกนายสิงห์กำลังขุดอยู่
 
“เธอรู้ได้อย่างไรว่าตรงนี้มีอุโมงค์ทางเข้า?” นายภูผาถามฉัน ขณะที่เดินตามรั้งหลังสุด
 
“ก็ตอนที่ "จิตเส" ขอให้เรานำร่างของเขาออกมาเผา เขาถ่ายทอดความทรงจำบางส่วนเข้ามาในหัวของเราเรื่องทางเข้า” ฉันตอบนายภูผาขณะที่อุ้มเจ้าข้าวตูและเดินอยู่ตรงกลาง
 
“ข้างหน้ามีทางแยก เราต้องไปทางไหนครับ?” ผู้กององอาจที่เดินนำอยู่ข้างหน้าถามขึ้น
 
“ทางขวาค่ะ!” ฉันบอกผู้กององอาจ ที่ถือไฟฉายและปืนเดินนำหน้าพวกเราเพื่อความปลอดภัย
 
“เธอว่าสิ่งที่พ่อหมอสามตาให้เราเข้าไปเอาออกมามันจะมีจริง ๆ หรือ?” นายภูผาถามฉันขณะที่เดินตามมา
 
“อันนี้ก้ไม่รู้นะ แต่พ่อหมอสามตาบอกว่าวิญญาณของจิตเสบอกมาตอนที่กำลังทำพิธีส่งวิญญาณ พวกเราเพียงแต่ต้องรีบไปหาให้เร็วที่สุด” ฉันตอบกลับ พลางคิดถึงหมอเทียงที่ดูน่ากลัวที่กำลังสู้อยู่กับพ่อหมอสามตา
 
“พ่อหมออย่าเพิ่งเป็นอะไรนะ รอพวกเราก่อน” ฉันคิดในใจด้วยความเป็นห่วงพ่อหมอ ขณะเดินตามอุโมงค์
 
...............................
 
“ โอ๊ย! งูกัด ช่วยด้วย!”  เสียงชายคนหนึ่งร้องขึ้นด้วยความเจ็บปวด ขณะที่ถูกงูเห่าตัวเขื่องกัดที่ขาไม่ยอมปล่อย ทำให้คนที่อยู่ด้านหน้าต่างก็ฉายไฟฉายตามต้นเสียง
 
“หัวหน้าครับ! คนของเราถูกงูกัด!” ชายชุดดำที่ใกล้นายสิงห์ร้องตะโกนบอก พลางวิ่งเข้าไปช่วยจับงู
 
“ถอยไปให้หมด!” นายสิงห์สั่งลูกน้อง พลางเดินตรงเข้าไปหาชายที่โดนงูกัด
 
“เปรี๊ยง!” เสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด คมกระสุนวิ่งเข้าตรงร่างของงูเห่าตัวเขื่องอย่างแม่นยำ จนหัวกับคอแยกออกจากกัน
 
“เอานี่ให้มันกิน แล้วหาไม้มาดามขาเอาผ้าพันไว้ ทิ้งมันไว้ที่นี่ก่อน หลังจากเสร็จงานค่อยพามันไปหาหมอ” นายสิงห์สั่งลูกน้อง พลางยื่นยาเม็ดกลมเม็ดหนึ่งที่หยิบออกมาจากกระเป๋า
 
“หัวหน้านี่มันยาอะไร?” ชายชุดดำที่อยู่ใกล้ ถามขึ้นขณะที่รับยามา
 
“สมุนไพรของหมอเทียง สำหรับแก้พิษ” นายสิงห์ตอบสั้น ๆ ก่อนหันไปแล้วเดินนำเข้าไปในอุโมงค์อย่างไม่สนใจอีก ทำให้ลูกน้องบางส่วนรีบเดินตามเข้าไป เหลือเพียงคนที่ช่วยปฐมพยาบาลเท่านั้น
 
“พี่ช่วยผมด้วย ผมยังไม่อยากตาย” ชายที่โดนงูกัดร้องขอความช่วยเหลือ
 
“กินยาแก้พิษของหมอเทียงก่อนจะได้ช่วยขับพิษ แล้วนอนนิ่ง ๆ รออยู่ที่นี่ เสร็จงานแล้วพวกข้าจะรีบพาเอ็งไปหาหมอ” ชายชุดดำส่งยาให้ชายที่โดนงูกัดกิน ก่อนเดินตามกลุ่มนายสิงห์เข้าไปในอุโมงค์
 
ส่วนชายที่โดนงูกัด แม้จะเบาใจลงที่ได้ยาแก้พิษของหมอเทียง แต่อาการของเขาก็ไม่ได้ดีขึ้น ไม่นานพิษของงูเห่าก็แล่นเข้าสู่หัวใจและนอนตายอย่างทรมาน
 
“หึหึ! ไอ้พวกไร้ประโยชน์ ถ้าต้องพาไปหาหมอก็จะเสียเวลากับงานใหญ่ เอายาปลอมหลอกว่าเป็นยาแก้พิษให้พวกมันไปก่อนจะได้รีบมาทำงาน เพราะอย่างไรเสร็จงานแล้วก็ต้องเก็บพวกมันทุกคนอยู่ดี”  นายสิงห์ที่เดินนำหน้าคิดร้ายอยู่ในใจ ก่อนยิ้มขึ้นที่มุมปากด้วยความชั่วร้าย
 
.........................
 
ขณะเดียวกันที่ด้านนอก การต่อสู้ของพ่อหมอสามตาและหมอเทียงก็กำลังรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งคู่กำลังต่อสู้แบบประชิดตัว แม้หมอเทียงจะมีอายุมากกว่าแต่ก็แคล่วคล่อง แถมยังดูเหนือกว่าพ่อหมอสามตาอยู่มาก
 
ตอนนี้หมอเทียงเบี่ยงหลบไม้ครูของพ่อหมอสามตา และถือโอกาสใช้มีดหมอที่ถืออยู่ในมือ แทงเข้าที่ลำตัวของพ่อหมอสามตา
 
“ฉึก!!” แม้ปลายมีดจะเข้าที่ลำตัวของคู่ต่อสู้ แต่หมอเทียงก็ไม่ได้ทำสีหน้าดีใจ
 
“หนังเหนียวรึ! มึงก็มีของดีติดตัวเหมือนกันสินะ” หมอเทียงพูดขึ้น ก่อนถีบพ่อหมอสามตาและถอยฉากออกมา
 
“ก็แค่พกตะกรุดของเกจิในวัดไทย แต่หมอเทียงก็ไม่เบา อายุปูนนี้แล้วยังแข็งแรงและว่องไว คงจะดึงพลังจากรอบสักหนุมานคลุกฝุ่นมาด้วยใช่ไหม?” พ่อหมอสามตายืนทรงตัวขึ้นมาหลังจากถูกหมอเทียงถีบแล้วเสียหลัก พลางใช้แขนเสื้อเสื้อซับเหงื่อที่ใบหน้า
 
แม้พ่อหมอสามตาอาจจะเป็นรอง แต่ของขลังและคาถาที่มีก็ทำให้ยังไม่เสียทีกับหมอเทียง แต่ถึงกระนั้น...การจะเอาชนะหมอเทียงก็ดูจะห่างไกลจากความจริง
 
“เห็นแก่ที่มึงมีวิชาและของดีติดตัว ถือเป็นคนในวงการเดียวกัน วันนี้กูจะไว้ชีวิตมึง รีบออกไปและอย่ามาขัดขวางกูอีก” หมอเทียงพูดกับพ่อหมอสามตาพลางเก็บมีดหมอใส่ย่าม
 
“เกรงว่าจะไม่ได้ ถึงผมจะเป็นหมอผีและอาจจะมีฝีมือด้อยกว่า แต่อย่างไรผมก็เคยเป็นตำรวจมาก่อน จะปล่อยให้คนที่เคยฆ่าคนมาทำพิธีสะกดวิญญาณหนีไปอีกโดยไม่ลงโทษตามกฎหมายไม่ได้ หมอเทียงไม่ต้องใจดีกับผมหรอก ลงมือต่อได้เลย” พ่อหมอสามตาพูดขึ้นพลางเก็บไม้ครูใส่ย่ามเช่นกัน
 
“ดี! กูไม่ได้เห็นคนท้ากูมานานแล้ว ถือเป็นโชคดีของมึงที่จะได้เห็นมนต์ดำโบราณของกู” หมอเทียงพูดขึ้น ก่อนพนมมือและเริ่มร่ายคาถา
 
“แย่แล้ว! นึกว่ามันจะคุยต่อ ดันจะเอาจริงขึ้นมา หนูทับทิมรีบเอาของสิ่งนั้นมาเร็ว ๆ หน่อย ไม่อย่างนั้นดูท่าแล้วพวกเราคงจะไม่รอดแน่ ๆ” พ่อหมอสามตาคิดในใจ ก่อนหยิบสิ่งของในย่ามออกมาเพื่อรับมือหมอเทียง
 
            ......................................
 
ขณะที่พ่อหมอสามตากับลังต่อสู้กับหมอเทียง หลังจากที่เดินในอุโมงค์มานาน พวกเราก็พบกับห้องโถงห้องหนึ่งที่กว้างขวาง แม้จะเก่าและเต็มไปด้วยฝุ่นแต่ก็ดูออกว่า เมื่อก่อนที่นี่น่าจะสวยงามเป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมบางอย่าง
 
ห้องโถงนี้ทำจากศิลาแลงทั้งผนังและพื้น ประดับด้วยภาพวาดโบราณ ทำให้ดูเก่าแก่โบราณและน่ากลัว
 
“พวกเราน่าจะถึงจุดหมายกันแล้ว ใช่ไหมครับคุณทับทิม” ผู้กององอาจถามฉันหลังจากมาถึงที่นี่
 
“น่าจะใช่ค่ะ! ทุกคนรออยู่ตรงนี้ก่อนนะคะ” ฉันบอกกับทุกคน ก่อนวางเจ้าข้าวตูลงบนพื้นและค่อย ๆ เดินไปยังแท่นหินที่อยู่กลางห้อง
 
เบื้องหน้าของฉันตอนนี้ เป็นแท่นหินสีขาวขนาดใหญ่ที่ตัดกับบรรยากาศรอบ ๆ ห้อง
 
บนแท่นหินนั้นมีโครงกระดูกสองโครงนอนคู่กัน เมื่อสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่าเป็นโครงกระดูกของมนุษย์เพศชายและหญิง มือของโครงกระดูกฝ่ายชายจับมือของผู้หญิงเอาไว้อย่างห่วงใย ราวกับว่าความตายก็ไม่อาจพรากผู้หญิงคนนี้ไปจากเขาได้
 
ที่แท่นหินมีอักษรจารึกไว้ด้วยภาษาโบราณ ซึ่งน่าแปลกที่ฉันสามารถอ่านมันออกได้ทันทีเมื่อเห็นครั้งแรก มันถูกสลักข้อความไว้ว่า
 
“ข้า “จิตเส” ขอสาบานว่าจะรักและอยู่คู่กับ “ทับทิม” สนมเอกของข้าตลอดกาล แม้ความตายก็มิอาจพรากความรักของข้าที่มีต่อนางไปได้”
 
เมื่ออ่านจบ... น้ำตาของฉันก็ไหลออกมา แล้วคิดถึงวิญญาณโบราณของชายที่รักฉันอย่างมั่นคงมาหลายพันปี
 
“จิตเส!...” ฉันพูดชื่อของเขาออกมา ก่อนหยุดอยู่ตรงหน้าแท่นแล้วใช้มือข้างหนึ่งจับมือของโครงกระดูกผู้ชายที่นอนอยู่บนแท่น
 
“ฉันมาช่วยปลดปล่อยท่านแล้ว จากนี้ไปวิญญาณของท่านจะหมดห่วงจากเรื่องนี้” ฉันพูดกับโครงกระดูกด้วยน้ำตา พลางมองโครงกระดูกของตัวเองในอดีตที่นอนเคียงข้างกัน
 
ทันใดนั้นเอง!
 
ภายในห้องโถงก็เย็นลงอย่างกระทันหัน พร้อมกระแสลมที่พัดขึ้นอย่างรุนแรง ตามมาด้วยเสียงผู้หญิงคนหนึ่งที่ชวนขนหัวลุกดังก้องอยู่ภายในห้อง
 
“อีทับทิม! อีกาลกิณี! ในที่สุดมึงก็ได้เกิดใหม่แล้วมาอยู่ที่นี่อีกครั้ง กูรอมึงอย่างทรมานมานานแสนนาน วันนี้กูจะได้สมหวังสักที!”  หลังสิ้นเสียงที่ชวนขนหัวลุก ไม่นานก็ปรากฎร่างของผู้หญิงที่แต่งตัวในชุดโบราณ กำลังเดินออกมาจากภาพวาดบนผนัง
 
ทันทีที่ฉันเห็นในหน้าของผู้หญิงโบราณคนนั้น! ฉันก็ตกใจและจำได้ทันที!
 
“พระมเหสี!”
 
................................
 
ตอนต่อไป
ตอนที่ 39 พิษรักแรงอาฆาต